วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิชาวินัยมุข นักธรรมชั้นเอก

อุปกรณ์วินัยมุข
                                                                                กัณฑ์ที่  ๒๓
                                                                                  สังฆกรรม
                     มูลเหตุที่ให้เกิดสังฆกรรมมี   คือ :-
๑.
  ภิกษุบริษัทมากขึ้น.
๒.
  มีพระพุทธประสงค์จะให้สงฆ์เป็นใหญ่ในการบริหารคณะ.
                  คำสวดในสังฆกรรมที่ต้องใช้  มี    คือ :-
๑.
  ญัตติ  คำเผดียงสงฆ์.
๒.
  อนุสาวนา  คำประกาศความปรึกษาและตกลงของสงฆ์.
                       สังฆกรรมแยกออกเป็น  ๔ คือ :-
๑.
  อปโลกนกัมม์  กรรมที่ทำเพียงบอกกันในชุมนุมสงฆ์  ไม่มีญัตติ    และอนุสาวนา.
๒.
  ญัตติกัมม์  กรรมที่ทำเพียงตั้งญัตติ  ไม่มีอนุสาวนา.
๓.
  ญัตติทุติยกัมม์  กรรมที่ทำด้วยตั้งญัตติและสวดอนุสาวนาหนเดียว.
๔.
  ญัตติจตุตถกัมม์  กรรมที่ทำด้วยตั้งญัตติและสวดอนุสาวนา  ๓ หน.
                       (๑)  อปโลกนกัมม์  มี    คือ :-
๑.
  นิสสารณา  คือนาสนะสามเณรผู้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า.
๒.
  โอสารณา  คือรับสามเณรรูปนั้นผู้ประพฤติเรียบร้อยแล้วเข้าหมู่.
๓.
  ภัณฑูกัมม์  บอกขออนุญาตปลงผมคนจะบวชที่ภิกษุจะทำเอง.
๔.
  พรหมทัณฑ์  คือประกาศไม่ว่ากล่าวภิกษุหัวดื้อว่ายาก.
๕.
  กัมมลักขณะ  เช่นอปโลกน์แจกอาหารในโรงฉันเป็นต้น.
                           (๒)  ญัตติกัมม์  มี  ๙ คือ :-
๑.  โอสารณา  คือเรียกอุปสัมปทาเปกขะที่ถามอันตรายิกธรรมแล้ว เข้าไปในสงฆ์.
๒.
  นิสสารณา  คือประกาศถอนพระธรรมกถึก  ฯ ล ฯ
๓.
  อุโบสถ.
๔.
  ปวารณา.
๕.
  สมมติต่างเรื่อง  เช่นสมมติตนเป็นผู้ถามอันตรายิกธรรมเป็นต้น.
๖.
  ให้คืนจีวรและบาตรเป็นต้น  ที่เป็นนิสสัคคีย์  ฯ ล ฯ
๗.
  รับอาบัติอันภิกษุแสดงในสงฆ์.
๘.
  ประกาศเลื่อนปวารณา.
๙.
  กัมมลักขณะ  คือประกาศเริ่มต้นระงับอธิกรณ์ด้วยติฯวัตถารกวินัย.
                              (๓)  ญัตติทุติยกัมม์  มี    คือ :-
๑.  นิสสารณา  คือคว่ำบาตร.
๒.
  โอสารณา  คือหงายบาตร.
๓.
  สมมติต่างเรื่อง  เช่นสมมติสีมาเป็นต้น.
๔.  ให้ต่างอย่าง  เช่นให้ผ้ากฐินเป็นต้น.
๕.
  ประกาศถอนหรือเลิกอานิสงส์กฐินเป็นต้น.
๖.
  แสดงที่สร้างกุฎีให้แก่ภิกษุ.
๗.
  กัมมลักขณะ  คือญัตติทุติยกัมม์ที่สวดในลำดับไปในการระงับ อธิกรณ์ด้วยติณวัตถารกวินัย.
                   (๔)  ญัตติจตุตถกัมม์  มี    คือ :-
๑.
  นิสสารณา  คือสงฆ์ทำกรรม  ๗ อย่าง  มีตัชชนียกัมม์เป็นต้น.ฅ
๒.
  โอสารณา  คือสงฆ์ระงับกรรม  ๗ อย่างนั้น.
๓.
  สมมติ  คือสมมติภิกษุเป็นผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุณี.
๔.
  ให้  คือให้ปริวาสและมานัตแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๕.
  นิคคหะ  คือปรับภิกษุผู้ประพฤติปริวาสหรือมานัตอยู่  ต้องอาบัติสังฆาทิเสสซ้ำเข้าอีก  ให้ตั้งต้นประพฤติใหม่.
๖.
  สมนุภาสนา  คือสวดห้ามภิกษุไม่ให้ถือรั้นการอันมิชอบ.
๗.
  กัมมลักขณะ  ได้แก่อุปสมบทและอัพภาน.
             จำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรม    ประเภทนี้  มี    คือ :-
๑.
  จตุรวรรค  สงฆ์มีจำนวน  ๔ รูป.
๒.
  ปัญจวรรค    "    "            "
๓.
  ทสวรรค       "    "         ๑๐ "
๔.
  วีสติวรรค     "     "         ๒๐ "
           สังฆกรรม  ๔ ประเภทนั้น  มีกำหนดจำนวนสงฆ์อย่างต่ำ
สำหรับทำกรรมนั้น ๆ
  ดังนี้  คือ :-
        ๑.  สงฆ์จตุรวรรค  ทำสังฆกรรมได้ทุกอย่างเว้นแต่ปวารณา ให้ผ้า  กฐิน  อุปสมบท  และอัพภาน.
        ๒.  สงฆ์ปัญจวรรค  ทำปวารณา  ให้ผ้ากฐิน  อุปสมบทในปัจจันต-ชนบท.
        ๓.  สงฆ์ทสวรรค  ให้อุปสมบทในมัธยมชนบท.
        ๔.  สงฆ์วีสติวรรค  ทำอัพภาน.

            กรรมที่สงฆ์มีจำนวนน้อยกว่าทำได้  สงฆ์มีจำนวนมากกว่าทำได้โดยแท้.
       ภิกษุผู้ควรเข้ากรรมได้ต้องประกอบด้วยองค์   คือ :-
        ๑.  เป็นภิกษุปกติ.
        ๒.  มีสังวาสเสมอด้วยสงฆ์.
        ๓.  เป็นสมานสังวาสของกันและกัน.
         กรรมย่อมวิบัติโดยเหตุ   ประการ  คือ :-
        ๑.  วิบัติโดยวัตถุ.
        ๒.     "   สีมา.
        ๓.     "   ปริสะ.
        ๔.     "   กรรมวาจา.
                      (๑)  กรรมวิบัติโดยวัตถุ  เพราะเหตุ    คือ :-
๑.
  อุปสมบทคนที่มีอายุหย่อนกว่า  ๒๐  ปี.
๒.
        "       คนที่เป็นอภัพพบุคคล.
๓.
  สมมติสีมาคาบเกี่ยวหรือทับสีมาอื่น.
๔.
  ทำผิดระเบียบ.
               (๒)  กรรมวิบัติโดยสีมาเพราะเหตุเหล่านี้เป็นต้น  คือ :-
๑.
   สมมติสีมาใหญ่เกินกำหนด.
๒.
  สมมติสีมาเล็กเกินกำหนด.
๓.
  สมมติสีมามีนิมิตขาด.
๔.
  สมมติสีมามีฉายาเป็นนิมิต.
๕.
  สมมติสีมาไม่มีนิมิต.
                 (๓)  กรรมวิบัติโดยปริสะ  เพราะเหตุ    คือ :-
๑.
  ภิกษุผู้เข้าประชุมเป็นสงฆ์ไม่ครบกำหนดตามหน้าที่สังฆกรรม.
๒.
  สงฆ์ครบกำหนดแล้ว  แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรนำมา.
๓.
  มีผู้คัดค้านกรรมอันสงฆ์กระทำ.
          (๔)  กรรมวิบัติโดยกรรมวาจานั้น  เพราะเหตุ    คือ :-
๑.
  ไม่ระบุวัตถุ.
๒.
     "    สงฆ์.
๓.
     "    บุคคล.
๔.
  ไม่ตั้งญัตติ.
๕.
  ตั้งญัตติต่อภายหลัง.
๖.
  ทิ้งอนุสาวนาในกรรมวาจาที่มีอนุสาวนา. 
๗.
  สวดในกาลที่ไม่ควร.
                           ไม่ระบุวัตถุแยกเป็น    คือ :-
๑.
  ไม่ระบุคน.  เช่นผู้อุปสมบท  ในการอุปสมบท.
๒.
  ไม่ระบุของ.  เช่นผ้ากฐิน  ในการให้ผ้ากฐิน.
๓.
  ไม่ระบุการที่ปรารภ.  เช่นการสมมติสีมา.
                         ไม่ระบุบุคคลแยกเป็น    คือ :-
๑.
  ไม่ระบุชื่ออุปัชฌาย์  ในการอุปสมบท.
๒.
  ไม่ระบุชื่อภิกษุผู้รับ  ในการให้ผ้ากฐิน.
                ในคำว่าทิ้งอนุสาวนามีเกณฑ์อยู่   คือ :-
๑.
  สวดอนุสาวนาไม่ครบกำหนด.
๒.
  สวดให้ตกหล่น.
๓.
  สวดผิด.
           (ข้อ ๒-๓  ถ้ามีในญัตติด้วย  เข้าใจว่าเสียเหมือนกัน)
      ผู้สวดกรรมวาจาต้องสนใจในประเภทพยัญชนะ  ๑๐  คือ :-
๑.
  สิถิล  พยัญชนะออกเสียงเพลา  ได้แก่พยัญชนะที่ ๑  ที่ ๓  ใน วรรคทั้ง ๕.
๒.
  ธนิต  พยัญชนะออกเสียงแข็ง  ได้แก่พยัญชนะที่ ๒  ที่ ๔  ในวรรคทั้ง ๕.
๓.
  ทิฆะ  สระที่ออกเสียงยาว.
๔.
  รัสสะ  สระที่ออกเสียงสั้น.
๕.
  ครุ  สระที่มีพยัญชนะสังโยค.
๖.
  ลหุ  สระที่ไม่มีพยัญชนะสังโยค.
๗.
  นิคคหิต  อักขระที่ว่ากดเสียง.
๘.
  วิมุต  อักขระที่ว่าปล่อยเสียง.
๙.
  สัมพันธ์  บทเข้าสนธิเชื่อมกับบทอื่น.
๑๐. ววัตถิตะ
  บทแยกกัน.
     กรรมย่อมเสียเพราะว่าผิดพลาดในประเภทพยัญชนะ   คือ :-
๑.
  ว่าสิถิลเป็นธนิต  เช่นว่า  " สุณาตุ  เม "  เป็น  " สุณาถุ  เม."
๒.  ว่าธนิตเป็นสิถิล  เช่นว่า  " ภนฺเต  สงฺโฆ "  เป็น  "พนฺเต  สงฺโค."
๓.  ว่าวิมุตเป็นนิคคหิต  เช่นว่า  " เอสาตฺติ "  เป็น  " เอส  ตฺติ."
๔.
  ว่านิคคหิตเป็นวิมุต  เช่นว่า  " ปตฺตกลฺล "  เป็น  " ปตฺตกลฺลา."
(ส่วนอีก
  ๖ สถานนั้น  ว่ากลับกันหรือแยกกัน  กรรมวาจาไม่เสีย  แต่ควรว่าให้ถูกและดี)
                                          กัณฑ์ที่  ๒๔ 
                                                สีมา

                     คำว่า  สีมา  แปลว่าเขตหรือแดน  มี    คือ :-
๑.
  พัทธสีมา  แดนที่ผูก  ได้แก่เขตที่สงฆ์กำหนดเอาเอง.
๒.
  อพัทธสีมา  แดนที่ไม่ได้ผูก  ได้แก่เขตที่เขากำหนดไว้โดยปกติ ของบ้านเมือง  หรือมีอย่างอื่นเป็นเครื่องกำหนด.
                           พัทธสีมา  มีขนาด    อย่าง  คือ :-
๑.
  สีมาเล็กพอจุภิกษุ  ๒๑ รูปได้นั่งหัตถบาสกัน.
๒.
  สีมาใหญ่ไม่เกินกว่า  ๓ โยชน์.
                            วัตถุที่ควรใช้เป็นนิมิตมี   คือ :-
๑.
  ภูเขา.
๒.
  ศิลา.
๓.
  ป่าไม้.
๔.
  ต้นไม้.
๕.
  จอมปลวก.
๖.
  หนทาง.
๗.
  แม่น้ำ.
๘.
  น้ำ.
                      (๑)  ภูเขาที่ใช้ได้มี    คือ :-
๑.
  ภูเขาดินล้วน.
๒.
  ภูเขาศิลาล้วน.
๓.
  ภูเขาศิลาปนดิน.
            (๒)  ศิลาที่ใช้ได้ประกอบด้วยองค์   คือ :-
๑.
  ศิลาแท้หรือศิลาเจือแร่.
๒.
  สัณฐานโตไม่ถึงช้าง  เท่าศีรษะโคหรือกระบือเขื่อง ๆ.
๓.
  เป็นศิลาแท่งเดียว.
๔.
  อย่างเล็กเท่าก้อนน้ำอ้อย  หนัก  ๓๒ ปะละ.
              (๓)  ศิลาอีก  ๓ ชนิดก็ใช้ได้  คือ :-
๑.
  ศิลาดาด.
๒.
  ศิลาเทือก.
๓.
  ศิลาดวด.
        (๔)  ป่าไม้ที่ใช้ได้ประกอบด้วยองค์   คือ :-
๑.
  หมู่ไม้มีแก่นหรือหมู่ไม้ชนิดเดียวกับไม้มีแก่น.
๒.
  ขึ้นเป็นหมู่กันอย่างต่ำเพียง  ๔-๕ ต้น.
      หัวข้อแห่งการผูกพัทธสีมาในบัดนี้  มีดังนี้  คือ :-
๑.
  พื้นที่อันจะสมมติเป็นสีมาต้องได้รับอนุญาตจากบ้านเมืองก่อน.
๒.
  ต้องประชุมภิกษุผู้อยู่ในเขตสีมาหรือนำฉันทะของเธอมา.
๓.
  สวดถอน.
๔.
  เตรียมนิมิตไว้ตามทิศ.
๕.
  เมื่อสมมติสีมา  ต้องประชุมภิกษุผู้อยู่ในภายในนิมิต.
๖.
  ทักนิมิต.
๗.
  สวดสมมติสีมา.
                  การทักนิมิตสีมาสองชั้นมี   วิธี  คือ :-
๑.
  ทักสลับกัน.
๒.
  ทักข้ามลูก.
           ประโยชน์ของการสมมติสีมาสองชั้น  มี    คือ :-
๑.
  เขตนิสัย  เขตลาภ  แผ่ไปทั่วถึง.
๒.
  ของสงฆ์อาจรวมเป็นเจ้าของเดียวกัน.
๓.
  สังฆกรรรรมทำได้สะดวก.
                      พัทธสีมาในบัดนี้  มี    คือ :-
๑.
  ขัณฑสีมา.
๒.
  มหาสีมา  (สีมาผูกทั่ววัด).
๓.
  สีมาสองชั้น.
                           อพัทธสีมา  มี    คือ :-
๑.
  คามสีมาหรือนิคมสีมา.
๒.
  สัตตัพภันตรสีมา.
๓.
  อุทกุกเขป.
            (นับวิสุงคามสีมาตามอรรถกถาเข้าด้วยเป็น  ๔)
             น่านน้ำที่สงฆ์จะกำหนดเป็นอุทกุกเขปได้  มี    คือ
๑.
  นที  แม่น้ำ.
๒.
  สมุทร ทะเล.
๓.
  ชาตสระ  ที่ขังน้ำอันเป็นเอง.
            แม่น้ำที่จะใช้เป็นแดนอุทกุกเขปได้นั้น  ต้องประกอบ
ด้วยองค์
    คือ :- 
๑.
  แม่น้ำมีกระแสน้ำ  มีน้ำไม่ขาดแห้งตลอดฤดูฝน.
๒.
  มีน้ำลึกพออันจะเปียกอันตรวาสก  ของภิกษุณีผู้ครองเป็นปริมณฑล เดินข้ามอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง.
            ลำคลองที่จะถือเป็นแม่น้ำได้  ต้องประกอบด้วยลักษณะเช่นนี้  คือ :-
๑.
  คลองนั้นมีกระแสน้ำเซาะกว้างออกไปแล้ว  พ้นจากความเป็นของ  คนขุด  (เช่นลำน้ำในระหว่าปากเกร็ด).
๒.
  คลองนั้นเป็นทางแม่น้ำเก่า  (เช่นคลองบางใหญ่).
                                  ชาตสระนั้น  มี    คือ :-
๑.
  บึง.
๒.
  หนอง.
๓.
  ทะเลสาบ.
                สถานที่ ๆ จะทำสังฆกรรมในน่านน้ำ  ๓ ชนิด  คือ :-
๑.
  จะทำบนเรือ.
๒.
  จะทำบนแพ.
๓.
  จะทำบนร้านที่ปลูกขึ้นในน้ำ  (ย่อมทำได้ทั้งนั้น). 
       หาดที่จะกำหนดเอาโดยฐานเป็นอุทกุกเขปได้นั้น  ต้องประกอบด้วยองค์    คือ :-
๑.
  หาดนั้นน้ำยังท่วมถึง  แม้เฉพาะในฤดูน้ำ.
๒.
  ยังเป็นที่สาธารณะ  ไม่เปิดให้จับจอง.
                                        สีมาสังกระ 
๑.
  สมมติสีมาคาบเกี่ยวกัน.
๒.
  วัตถุพาดพิงถึงกันในระหว่างสีมาทั้งสอง.
๓.
  สงฆ์สองหมู่จะทำสังฆกรรมเวลาเดียวกัน  ไม่เว้นระหว่างแนว สงฆ์ให้ห่างกันพอได้ตามกำหนด.
๔.
  ทำสังฆกรรมในเรือหรือแพที่ผูกกับหลักปักไว้บนตลิ่ง  หรือทำในที่ไม่ได้กำหนดจามอุทกุกเขป.
                                       กัณฑ์ที่  ๒๕
                           สมมติเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์

            ภิกษุผู้ควรเลือกเป็นเจ้าหน้าที่นั้น  ต้องประกอบด้วยองค์    คือ :-
๑.
  ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
๒.
         "                   "            เกลียดชัง                 นี้เป็นองค์สรรพ-
๓.
         "                   "            งมงาย                          สาธารณะ
๔.
         "                   "            กลัว
๕.
  เข้าใจการทำหน้าที่อย่างนั้น  (นี้องคฺเฉพาะ).
                        เจ้าหน้าที่อันสงฆ์พึงสมมติ  มี    คือ :-
๑.
  เจ้าอธิการแห่งจีวร.
๒.
  เจ้าอธิการแห่งอาหาร.
๓.
  เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ.
๔.
  เจ้าอธิการแห่งอาราม.
๕.
  เจ้าอธิการแห่งคลัง.
                 (๑)  หน้าที่เจ้าอธิการแห่งจีวรแบ่งออกเป็น   คือ :-
๑.
  จีวรปฏิคคาหกะ  เป็นผู้รับจีวร.
๒.
  จีวรนิทหกะ  เป็นผู้เก็บจีวร.
๓.
  จีวรภาชกะ  เป็นผู้แจกจีวร.
                    (๑)  ข้อที่จีวรปฏิคคาหกภิกษุพึงรู้ดังนี้  คือ  :-
๑.
  จีวรที่เขาถวายแก่สงฆ์  ที่ตนมีหน้าที่อุปัฏฐาก  ควรรับ.
๒.
  จีวรที่เขาถวายแก่สงฆ์  ที่ตนไม่มีหน้าที่อุปัฏฐาก  และที่เขาถวายเป็น
    ปาฏิบุคคล  ไม่ควรรับ.
๓.
  จีวรประเภทไร  มีจำนวนเท่าไร รับไว้หรือมิได้รับไว้  ควรรู้ด้วย.
           จีวรที่เขาถวายแก่สงฆ์มีเกณฑ์แห่งคำถวาย  ดังนี้  คือ :-
๑. ข้าพเจ้าถวายในสีมาหรือแก่สีมา.
๒.
  ข้าพเจ้าถวายตามกติกาของสงฆ์.
๓.
  ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์.
๔.
  ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว.
            จีวรที่เขาถวายเป็นปาฏิบุคลิกมีเกณฑ์  ดังนี้  คือ :-
๑.
  จีวรที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้ได้รับภัตตาหารของเขา.
๒.
  จีวรที่เขาถวายแก่ภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะของเขา.
๓.
  จีวรที่เขาแก่ภิกษุผู้ได้รับอุปัฏฐากอย่างอื่นของเขา.
๔.
  จีวรที่เขาถวายแก่ภิกษุเฉพาะรูป.
              (๒)  ข้อที่จีวรนิทหกภิกษุพึงรู้ดังนี้  คือ :-
๑.
  ผ้าอัจเจกจีวรที่เขาถวาย  ควรเก็บไว้จนกว่าจะออกพรรษา  แล้ว  จึงแจกแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษา.
๒.
  จีวรที่เขาถวายไม่พอแจก  ควรเก็บไว้จนกว่าจะได้มาพอแจกกัน.
๓.
  จีวรที่เขาถวายพอแจกทั่วกัน  มิใช่อัจเจกจีวร  ไม่ควรเก็บ.
๔.
  จีวรมีจำนวนเท่าไร  เก็บไว้หรือมิได้เก็บไว้  ควรรู้ด้วย.
                      (๓)  ข้อที่จีวรภาชกภิกษุพึงรู้ดังนี้  คือ :-
๑.
  จีวรที่เขาถวายไม่นิยมเป็นพิเศษ  พอแจกทั่วกัน  ควรแจก.
๒.
  จีวรที่เขาถวายเป็นผ้ากฐิน  หรือเป็นมูลแห่งเสนาสนปัจจัย  ไม่  ควรแจก.
๓.
  จีวรมีจำนวนเท่าไร  แจกไปหรือไม่ได้แจก  ควรรู้ด้วย.
             จีวรภาชกภิกษุควรทำความกำหนด   อย่าง  คือ :-
๑.
  พึงกำหนดเขต.
๒.
   "          "   กาล.
๓.
   "          "   วัตถุ  คือจีวร.
๔.
   "          "   บุคคล  คือสหธรรมิกผู้รับแจก.
๕.
   "          "   นิยมต่าง.
           (๑)  การกำหนดเขตนั้น  มีข้อกำหนดอยู่    คือ :-
๑.
  กำหนดอาวาสทั้งมวล.
๒.
  กำหนดอาวาสทั้งหลาย  ซึ่งอยู่ในเขตกติกาที่ได้ทำกันไว้.
              (๒)  กำหนดกาลนั้น  มีข้อกำหนดอยู่    คือ :-
๑.
  กำหนดจีวรกาลโดยปกติ.
๒.
  กำหนดจีวรที่ขยายไปตลอดเหมันตฤดู  เพราะได้กรานกฐิน.
๓.
  กำหนดกาลที่พ้นจีวรกาลไปแล้ว.
              (๓)  การกำหนดวัตถุนั้น  มีข้อกำหนด    คือ :-
๑.
  เป็นของเหมือนกันหรือแผกกัน.
๒.
  ที่แผกกันเป็นผ้าชนิดไร.
๓.
  ดีเลวอย่างไร.
๔.
  ราคาถูกแพงเป็นอย่างไร.
๕.
  เป็นจีวรชนิดไรบ้าง.
๖.
  ไตรจีวรอย่างไหน  มีจำนวนเท่าไร.
         (๔)  การกำหนดบุคคลนั้น  มีข้อกำหนดอยู่  ๒ คือ :-
๑.
  เป็นภิกษุ.
๒.
  เป็นสามเณร.
       (๕)  การกำหนดนิยมต่างกัน  มีข้อกำหนดอยู่    คือ :-
๑.
  ผ้าที่เขาถวายเป็นผ้ากฐิน.
๒.
  ผ้าที่เป็นบริวารของผ้ากฐิน.
๓.
  ผ้าไตรจีวรของภิกษุที่มรณะแล้ว.
       (๒)  หน้าที่เจ้าอธิการแห่งอาหารแบ่งออกเป็น   คือ :-
๑.
  ภัตตุทเทสกะ  เป็นผู้แจกภัต.
๒.
  ยาคูภาชกะ  เป็นผู้แจกยาคู.
๓.
  ผลภาชกะ  เป็นผู้แจกผลไม้.
๔.
  ขัชชภาชกะ  เป็นผู้แจกของเคี้ยว.
                   ข้อที่ภัตตุทเทสกภิกษุพึงรู้  ดังนี้
๑.
  ภัตไม่ได้นิยมต่าง  เป็นของควรแจก.
๒.
  ภัตมีนิยมต่าง  เป็นของไม่ควรแจก.
๓.
  ภัตที่แจกไม่ทั่วกัน  แจกไปแล้วเพียงลำดับแค่ไหน  ควรจำไว้.
  (ภัตเป็นของควรแจก  หรือไม่ควรแจกนั้น  หมายเอาแจกทั่วไป).
        ภัตมีนิยมต่างนั้น  ในบาลี  มี    เพิ่มตามอรรถกถาอีก  ๑เป็น    คือ :-
๑.
  อาคันตุกภัต  อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุอาคันตุกะ.
๒.
  คมิยภัต  อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้จะไปอยู่ที่อื่น.
๓.
  คิลานภัต  อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุไข้.
๔.
  คิลานุปัฏฐากภัต  อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุผู้พยาบาลไข้.
๕.
  กุฏิภัต  อาหารที่เขาถวายแก่ภิกษุผู้อยู่ในกุฏีที่เขาสร้าง  (ข้อนี้มีในอรรถกถา).
                          การแจกภัต  มี    อย่าง  คือ :-
๑.
  แจกอาหารอันเขานำมามอบถวาย.
๒.
  รับนิมนต์ไว้แล้ว  ส่งพระไปรับที่บ้านเรือนของเขา.
                     ภัตที่ออกชื่อในบาลี  มี   อย่าง  คือ :-
๑.
  สังฆภัต  อาหารที่ถวายสงฆ์.
๒.
  อุทเทสภัต  อาหารอุทิศสงฆ์.
๓.
  นิมันตนะ  การนิมนต์หรืออาหารที่ได้ในที่นิมนต์.
๔.
  สลากภัต  อาหารถวายตามสลาก.
๕.
  ปักขิกภัต  อาหารถวายปักษ์ละ  ๑ ครั้ง.
๖.
  อุโปสถถิกภัต  อาหารถวายในวันอุโบสถ.
๗.
  ปาฏิปทิกภัต  อาหารถวายในวันปาฏิบท.
          สังฆภัตนั้น  เขาถวายสงฆ์พอแจกทั่วกันในอาราม  มีวิธีถวาย ๒  คือ :-
๑.
  เขานำมาถวายเอง.
๒.
  เขาส่งมาถวายเอง.
         อุทเทสภัตนั้น  เขาถวายสงฆ์ไม่พอแจกทั่วกันในอาราม  มีวิธีถวาย    คือ :-
๑.
  เขานำมาถวายเอง.
๒.
  เขาส่งมาถวาย.
๓.
  เขาขอสงฆ์ไปรับมาจากบ้านของเขา.
                         อานิสงส์แห่งข้าวยาคู  มี    คือ :-
๑.
  แก้หิว.
๒.
  ระงับระหาย.
๓.
  ยังลมให้เดินคล่อง.
๔.
  ชำระทางปัสสาวะ.
๕.
  ละลายอาหารดิบ.
                               ทางได้ผลไม้  มี    คือ :-
๑.
  ผลไม้ที่เกิดขึ้นในสวนวัดที่ไวยาวัจกรจัดทำ.
๒.
  ผลไม้ที่ผู้เช่าสวนวัดจัดทำ  เขาถวายตามส่วน.
๓.
  ผลไม้ที่ทายกส่งมาถวาย.
๔.
  ผลไม้ที่เขาอนุญาตให้ไปเก็บเอาเองได้.
            (๓)  หน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ  มี    คือ :-
๑.
  เสนาสนคาหาปกะ  มีหน้าที่แจกเสนาสนะให้ภิกษุถือ.
๒.
  เสนาสนปัญญาปกะ  มีหน้าที่แต่งตั้งเสนาสนะ.
                 เสนาสนะที่จะพึงแจกให้ถือนั้น  มี    คือ :-
๑.
  แจกกุฎีให้ถือเป็นหลัง ๆ  หรือเป็นห้อง ๆ.
๒.
  แจกเตียงนอนให้ถือเป็นที่ ๆ.
           การให้ถือเสนาสนะเนื่องด้วยสมัยในบาลี  มี    คือ :-
๑.
  ปุริมิโก  การให้ถือเมื่อวันเข้าปุริมพรรษา.
๒.
  ปจฺฉิมิโก       "            "   พรรษาหลัง.
๓.
  อนฺตรามุตฺตโก  การให้ถือในระหว่างพ้นจากนั้น.
                  การให้ถือเสนาสนะตามพระมติ  มี    คือ :-
๑.
  วสฺสูปนายิโก  การให้ถือในวันเข้าพรรษา.
๒.
  ตพฺพิรินิมุตฺโต  การให้ถือในคราวพ้นจากนั้น.
        ภิกษุที่ไม่ควรย้ายเสนาสนะในเวลานอกพรรษา  มี    คือ :-
๑.
  ภิกษุผู้ทำอุปการะแก่สงฆ์.
๒.
  ภิกษุที่ได้ปฏิสังขรณ์เสนาสนะ  สงฆ์ขออนุญาตให้อยู่มีกำหนด.
๓.
  ภิกษุผู้เป็นภัณฑาคาริก.
      การแจกเสนาสนะ  พึงกำหนดเสนาสนะและฐานะของผู้ถือเสนาสนะด้วย  คือ :-
๑.
  ถ้ากุฎีพอ  พึงแจกให้ถือเป็นหลัง ๆ  หรือแม้ทั้งบริเวณ  มีไม่พอ     พึงผ่อนให้ถือเป็นห้อง ๆ  ถ้ากุฎีโถง  พึงผ่อนให้ถือชั่วเตียงนอน ชั่วที่นอนเป็นที่ ๆ.
๒.
  ฐานะของผู้ถือเสนาสนะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย  เป็นผู้ทำอุปการะแก่ สงฆ์หรือหามิได้  เป็นผู้เล่าเรียนหรือประกอบกิจในทางไร  เป็นผู้ อาศัยหรือเป็นที่อาศัยของใครเป็นต้น.
     (๔)  หน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งอารามแบ่งออกเป็น   คือ :-
๑.
  การรักษาอาราม.
๒.
  การดูนวกรรม.
                 หน้าที่ของภิกษุผู้ดูนวกรรม  มี    คือ :-
๑.
  เป็นผู้ดูการปลูกสร้างที่มีทายกเป็นเจ้าของ.
๒.
  เป็นผู้ดูการปฏิสังขรณ์สิ่งหักพังชำรุดในอาราม.
       (๕)  หน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งคลังแบ่งออกเป็น   คือ :-
๑.
  ภัณฑาคริก  มีหน้าที่รักษาคลังเก็บพัสดุของสงฆ์.
๒.
  อัปปมัตตกวิสัชชกะ  มีหน้าที่จ่ายของเล็กน้อยให้แก่ภิกษุ.
                  ข้อที่ภัณฑาคาริกภิกษุพึงรู้ดังนี้  คือ :-
๑.
  ของที่เป็นครุภัณฑ์ควรเก็บ.
๒.
  ของที่เป็นลหุภัณฑ์ไม่ควรเก็บ.
                       ในเสนาสนขันธ์มีสมมติอีก   คือ :-
๑.
  สมมติให้เป็นผู้รับผ้าสาฎก  เรียกสาฎิยคาหาปกะ.
๒.
  สมมติให้เป็นผู้รับบาตร  เรียกปัตตคาหาปกะ.
                                       กัณฑ์ที่  ๒๖
                                           กฐิน

         องค์กำหนดสิทธิของภิกษุผู้จะกรานกฐิน  มี    คือ :-
๑.
  เป็นผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสไม่ขาด.
๒.
  อยู่อาวาสเดียวกัน.
๓.
  ภิกษุมีจำนวนแต่  ๕ รูปขึ้นไป.
                  ผ้าอันเป็นวัตถุแห่งกฐิน  มี    คือ :-
๑.
  ผ้าใหม่.
๒.
  ผ้าเทียมใหม่.
๓.
  ผ้าเก่า.
๔.
  ผ้าบังสุกุล.
๕.
  ผ้าตกตามร้าน.
             ผ้าอันไม่ควรใช้เป็นวัตถุแห่งกฐิน  มี    คือ :-
๑.
  ผ้าที่ไม่ได้เป็นสิทธิ.
๒.
  ผ้าที่ได้มาโดยอาการอันมิชอบ  คือ  ทำนิมิตและพูดเลียบเคียง.
๓.
  ผ้าเป็นนิสัคคีย์.
๔.
  ผ้าที่เก็บค้างคืนไว้  (หมายเอาผ้ากฐินที่ทำค้างคืนไม่เสร็จในวัน เดียว).
            องค์แห่งภิกษุผู้ควรกรานกฐินตามบาลี  มี    คือ :-
๑.
  รู้จักบุพพกรณ์.
๒.
  รู้จักถอนไตรจีวร.
๓.
  รู้จักอธิษฐานไตรจีวร.
๔.
  รู้จักการกราน.
๕.
  รู้จักมาติกา.
๖.
  รู้จักปลิโพธิกังวล.
๗.
  รู้จักการเดาะกฐิน.
๘.
  รู้จักอานิสงส์กฐิน.
                            บุพพกรณ์  มี    คือ :-
๑.
  ซักผ้า.
๒.
  กะผ้า.
๓.
  ตัดผ้า.
๔.
  เนาหรือด้นผ้าที่ตัดแล้ว.
๕.
  เย็บเป็นจีวร.
๖.
  ย้อมจีวรที่เย็บแล้ว.
๗.
  ทำกัปปะ  คือ  พินทุ.
         คำว่า  " ถ้าผ้ากฐินนั้นมีบริกรรมสำเร็จแล้ว "  มีสันนิษฐานเป็น    นัย  คือ :-
๑.
  หมายเอาผ้าที่เย็บมาเสร็จแล้ว
๒.
  หมายว่าภิกษุผู้รับผ้านั้นขวนขวายทำเสร็จเป็นส่วนตน.
                                       คำกรานผ้ากฐิน
        อิมาย  สงฺฆาฏิยา  กิน  อติถรามิ  (สังฆาฏิ).
        อิมินา  อุตฺตราสงฺเคน  กิน  อตฺถรามิ  (อุตตราสงค์).
        อิมินา  อนฺตรวาสเกน  กิน  อตฺถรามิ  (อันตรวาสก).
                      คำบอกของผู้กราน  (คือผู้รับ)  ในสงฆ์
        อตฺถต  ภนฺเต  สงฺฆสฺส  กินธมฺมิโก  กินตฺถาโร  อนุโมทถ.
        (ถ้าผู้กรานแก่กว่าว่า  " อตฺถต  อาวุโส ").
                       คำอนุโมทนากฐินของภิกษุทั้งหลาย
        อตฺถต  อาวุโส  สงฺฆสฺส  กินธมฺมโก  กินตฺถาโร  อนุโมทามิ.
        (ถ้าผู้อนุโมทนาอ่อนกว่าผู้กรานว่า  " อตฺถต  ภนฺเต ").
                    ของที่เป็นบริวารแห่งกฐินควรได้แก่ใคร    มติอรรถกถาว่า  ถ้าทายกถวายเฉพาะภิกษุผู้กรานกฐินกล่าวว่า " เยน  อมฺหาก  กิน  คหิตตสฺเสว  เทม "  แปลว่า  " ภิกษุรูปใดได้รับผ้ากฐินของพวกข้าพเจ้า ๆ ถวายแก่ภิกษุรูปนั้น "  เช่นนี้  สงฆ์ไม่เป็นใหญ่  ถ้าเขาไม่ได้จำกัดไว้  ถวายก็แล้วไป  สงฆ์เป็นใหญ่.
                    อานิสงส์แห่งการกรานกฐิน   คือ :-
๑.
  เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่   แห่งอเจลกวรรค.
๒.
  เที่ยวจาริกไปไม่ต้องถือเอาไตรจีวรไปครบสำรับ  (เพียง    ผืน).
๓.
  ฉันคณโภชน์ได้  (และฉันปรัมปรโภชน์ได้).
๔.
  เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา.
๕.
  จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของได้แก่พวกเธอ.
        (ทั้งได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลให้ยาวออกไปตลอด  ๔ เดือนฤดูเหมันต์ด้วย).
          อานิสงส์กฐินและการขยายเขตจีวรกาล  ทรงอยู่ได้  เพราะมีปลิโพธ    คือ :-
๑.
  อาวาสปลิโพธ  กังวลในอาวาส.
๒.
  จีวรปลิโพธ  กังวลในจีวร.
    (ปลิโพธทั้ง   นี้  แม้ยังเหลืออยู่เพียงอย่างเดียว  ก็ยังรักษาอยู่ก่อน).
      การกำหนดความมีและความสิ้นแห่งปลิโพธทั้ง  ๒ นั้น  ดังนี้ :-
๑.
  ภิกษุยังอยู่ในอาวาสนั้น  หรือหลีกไป  ผูกใจอยู่ว่าจะกลับมา  ชื่อว่ายังมีอาวาสปลิโพธ.
๒.
  เธอหลีกไปจากอาวาสนั้นด้วยทอดธุระว่าจักไม่กลับ  ชื่อว่าสิ้น  อาวาสปลิโพธ.
๓.
  ภิกษุยังไม่ได้ทำจีวรเลย  หรือทำค้าง  หรือหายเสียในเวลาทำ  แต่ยังไม่สิ้นความหวังว่าจะได้จีวรอีก  ชื่อว่ายังมีจีวรปลิโพธ.
๔.
  เธอทำจีวรเสร็จแล้วหรือกำลังทำค้างอยู่  ทำเสีย  หายเสีย  ไฟไหม้ เสีย  สิ้นความหวังว่าจะได้จีวรอีก  ชื่อว่าสิ้นจีวรปลิโพธ.(การเดาะกฐินเรียกเป็นศัพท์ว่า  " กฐินุทฺธาโร "  บ้าง  " กฐินุพฺภาโร "บ้าง  แปลว่า  " รื้อไม้สะดึง ").
                       มาติกา  (หัวข้อเพื่อเดาะกฐิน)   คือ :-
๑.
  เดาะกฐินกำหนดด้วยหลีกไป  (ปกฺกมนฺนติกา).
๒.
  การเดาะกฐินกำหนดด้วยทำจีวรเสร็จ  (นิฏฺฐานนฺติกา).
๓.
  เดาะกฐินด้วยสันนิษฐาน  (สนฺนิฏฺฐานนฺติกา).
๔.
  เดาะกฐินกำหนดด้วยความเสียหรือความหาย  (นาสนนฺติกา).
๕.
  เดาะกฐินกำหนดด้วยสิ้นหวัง  (อาสวจฺเฉทิกา).
๖.
  เดาะกฐินกำหนดด้วยได้ยินข่าว  (สวนฺนติกา).
๗.
  เดาะกฐินกำหนดด้วยล่วงเขต  (สีมาติกฺกนฺติกา).
๘.
  เดาะกฐินพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย  (สหุพฺภารา).
 
                                     กัณฑ์ที่  ๒๗
                              บรรพชาและอุปสมบท

                                       บรรพชา
        การบวชด้วยไตรสรณคมน์อาจแยกออกเป็น   ตอน  คือ :-
๑.
  การให้ครองผ้ากาสายะ  (เป็นอันให้บรรพชา).
๒.
  การให้สรณคมน์  (เป็นอันให้อุปสมบท).
         การบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาแยกได้เป็น   ตอน  คือ :-
๑.
  พระดำรัสว่า  มาเถิดภิกษุหรือเป็นภิกษุมาเถิด  (เป็นอันประทานบรรพชา).
๒.
  พระดำรัสว่า  ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด    หรือว่าประพฤติพรหมจรรย์  (เป็นอันประทานอุปสมบท).  คำบอกภัณฑูกรรมชนิดที่พาบรรพชาเปกขะไปด้วย  บอกว่า :-
๑.
  สงฆ  ภนฺเต  อิมสฺส  ทารกสฺส  ภณฺฑูกมฺม  อาปุจฺฉามิ.
๒.
  อิมสฺส  สมณกรณ  อาปุจฺฉามิ.
๓.
  อย  ปพฺพชิตุกาโม  (บอก  ๓ ครั้ง  ๒ ครั้ง  หรือครั้งเดียวก็ได้).
                                           คำแปล
๑.
  ท่านเจ้าข้า  ข้าพเจ้าบอกภัณฑูกรรมแห่งทารกนี้แก่สงฆ์.
๒.
  ข้าพเจ้าบอกการทำทารกนี้ให้เป็นสมณะ.
๓.
  ทารกผู้นี้ใคร่จะบวช.
        คำบอกภัณฑูกรรมชนิดที่ไม่พาบรรพชาเปกขะไปด้วย  หรือ ชนิดที่ส่งภิกษุหนุ่มหรือสามเณรไปบอกแทน  บอกว่า :-
        เอโก  ภนฺเต  ปพฺพชฺชาเปกฺโข  อตฺถิ  ตสฺส  ภณฺฑูกมฺมอาปุจฺฉามิ.
                                        คำแปล
        ท่านเจ้าข้า  บรรพชาเปกขะมีอยู่ผู้หนึ่ง  ข้าพเจ้าบอกภัณฑูกรรมแห่งเขา.
                                        อุปสมบท
               ผู้ควรได้รับอุปสมบทต้องประกอบด้วยองคคุณ   คือ :-
๑.
  เป็นผู้ชาย.
๒.
  มีอายุครบ  ๒๐ ปีบริบูรณ์.
๓.
  มิใช่อภัพบุคคลผู้ถูกห้ามโดยเด็ดขาด.
              (เฉพาะบุรุษพิเศษมีอายุ  ๒๐ โดยปี  ท่านอนุญาต).
                      อภัพบุคคลจัดโดยวัตถุ  มี    พวก  คือ :-
๑.
  พวกมีเพศบกพร่อง.
๒.
  พวกประพฤติผิดพระธรรมวินัย.
๓.
  พวกประพฤติผิดต่อกำเนิดของตน.
                 (๑)  พวกมีเพศบกพร่องแยกออกเป็น   คือ :-
๑.
  บัณเฑาะก์.
๒.
  อุภโตพยัญชนก.
                      (๑)  บัณเฑาะก์แยกออกเป็น    คือ :-
๑.ชายมีราคะกล้าประพฤตินอกจารีตในทางเสพกาม และเย้ายวนชาย อื่นให้เป็นเช่นนั้น.๒.
  ชายผู้ถูกตอน.
๓.
  กะเทยโดยกำเนิด.
          (๒)  พวกประพฤติผิดพระธรรมวินัยแยกออกเป็น   คือ :-
๑.
  คนฆ่าพระอรหันต์.
๒.
  คนทำร้ายภิกษุณี.
๓.
  คนลักเพศ  (เถยยสังวาส).
๔.
  ภิกษูไปเข้ารีตเดียรถีย์.
๕.
  ภิกษุต้องปาราชิกลักเพศไปแล้ว.
๖.
  ภิกษุผู้ทำสังฆเภท.
๗.
  คนทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต.
         (๓)  พวกประพฤติผิดต่อกำเนิดของตนแยกออกเป็น   คือ :-
๑.
  คนฆ่ามารดา.
๒.
  คนฆ่าบิดา.
        ประเภทแห่งคนผู้ต้องห้ามบวชโดยอาการไม่สมควรมี   คือ :-
๑.
  บางพวกไม่ให้รับบรรพชา.
๒.
  บางพวกห้ามไม่ให้รับอุปสมบท.
               พวกที่ถูกห้ามไม่ให้รับบรรพชา  มี    พวก  คือ :-
๑.
  คนมีโรคอันจะติดต่อกันเป็นต้น  คือโรค  ๕ อย่าง  มีโรคเรื้อน เป็นอาทิ.
๒.
  คนมีอวัยวะบกพร่อง  คือมีมือเท้าขาดเป็นต้น.
๓.
  คนมีอวัยวะไม่สมประกอบ  คือมีมือเป็นแผ่นเป็นต้น.
๔.
  คนพิการ  คือคนตาบอดตาใสเป็นต้น.
๕.
  คนทุรพล  คือคนแก่ง่อนแง่นเป็นต้น.
๖.
  คนมีเกี่ยวข้อง  คือคนอันมารดาบิดาไม่ได้อนุญาตเป็นต้น.
๗.
  คนเคยถูกลงอาญาหลวง  มีหมายปรากฏอยู่  คือคนถูกเฆี่ยน หลังลายเป็นต้น.
๘.
  คนประทุษร้ายความสงบ  คือโจรผู้ร้ายที่ขึ้นชื่อโด่งดังเป็นต้น.
                 พวกที่ถูกห้ามไม่ให้อุปสมบท  มี ๑๐  คือ :-
๑.
  คนไม่มีอุปัชฌาย์.
๒.
  มีคนอื่นจากภิกษุเป็นอุปัชฌาย์.
๓.
  ถือสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์.
๔.
  ถือคณะเป็นอุปัชฌาย์.
๕.
  คนไม่มีบาตร.
๖.
  คนไม่มีจีวร.
๗.
  คนไม่มีทั้งบาตรทั้งจีวร.
๘.
  คนยืมบาตรเขามา.
๙.
  คนยืมจีวรเขามา.
๑๐. คนยืมทั้งบาตรทั้งจีวรเขามา.
                          บุรพกิจแห่งอุปสมบท  มี  ๑๑  คือ :-
๑.
  ให้บรรพชา.
๒.
  ขอนิสัย.
๓.
  ถืออุปัชฌาย์.
๔.
  ขนานชื่อมคธแห่งอุปสัมปทาเปกขะ.
๕.
  บอกนามอุปัชฌาย์.
๖.
  บอกบาตรจีวร.
๗.
  สั่งให้อุปสัมปทาเปกขะไปยืนข้างนอก.
๘.
  สมมติภิกษุรูปหนึ่ง  เป็นผู้ซักซ้อมอุปสัมปทาเปกขะถึงอันตรายิก- ธรรม.
๙.
  เรียกอุปสัมปทาเปกขะเข้ามาในสงฆ์.
๑๐. ให้ขออุปสมบท.
๑๑. สมมติภิกษุรูปหนึ่งสอบถามอุปสัมปทาเปกขะถึงอันตรายิกธรรม ในสงฆ์.
      การจัดภิกษุผู้สวดกรรมวาจาเป็นคู่นั้น  มีทางสันนิษฐาน  ดังนี้ :-
ก.
  ธรรมเนียมสวดอย่างอื่นมีสวดภาณวารเป็นต้น  สวดทีละคู่.
ข.
  สวดรูปเดียวอาจตกหล่น  สวดคู่คงตกหล่นไม่พร้อมกัน  เป็นอัน ทานกันอยู่ในตัวเอง  รูปหนึ่งพลาดเป็นล่ม.
ค.
  เนื่องจากอุปสมบทคราวละคู่  รูปหนึ่งสวดกรรมวาจาสำหรับอุปสัมปทาเปกขะรูปหนึ่ง.
                                  ปัจฉิมกิจ  มี    คือ :-
๑.
  วัดเงาแดดในทันใด.
๒.
  บอกประมาณแห่งฤดู.
๓.
  บอกส่วนแห่งวัน.
๔.
  บอกสังคีติ.
๕.
  บอกนิสัย.
๖.
  บอกอกรณียกิจ ๔.
                           เงาแดดนั้นปันเป็น    ภาค  คือ :-
๑.
  หายมานจฺฉายา  เวลามีเงาเสื่อม.
๒.
  วฑฺฒมานจฺฉายา  เวลามีเงาเจริญ.
                                         กัณฑ์ที่  ๒๘
                                   วิธีระงับวิวาทาธิกรณ์

                       วิวาทาธิกรณ์ในบาลีแจกไว้   คู่  คือ :-
๑.
  วิวาทกันว่า  นี้เป็นธรรม  นี้ไม่เป็นธรรม.
๒.
  นี้เป็นวินัย  นี้ไม่เป็นวินัย.
๓.
  นี้พระตถาคตเจ้าตรัสภาษิตไว้  นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ตรัสภาษิตไว้.
๔.
  นี้พระตถาคตเจ้าทรงประพฤติมา  นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรง ประพฤติมา.
๕.
  นี้พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้  นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้.
๖.
  นี้เป็นอาบัติ  นี้ไม่เป็นอาบัติ.
๗.
  นี้เป็นอาบัติเบา  นี้เป็นอาบัติหนัก.
๘.
  นี้เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ  นี้เป็นอาบัติหาส่วนเหลือไม่ได้.
๙.
  นี้เป็นอาบัติหยาบ  นี้ไม่เป็นอาบัติหยาบคาย.
                วิวาทมูลคือรากเง่าแห่งการเถียง  มี    คือ :-
๑.
  ผู้ก่อขึ้นด้วยปรารถนาดี  คือเห็นแก่พระธรรมวินัย  และมีจิต สัมปยุตด้วย  อโลภะ  อโทสะ  อโมหะ.
๒.
  ผู้ก่อขึ้นด้วยปรารถนาเลว  คือก่อขึ้นด้วยทิฏฐิมานะ  แม้รู้ว่าผิดก็ขืน ทำ  และประกอบด้วยโทษ    คู่  คือ :-
        คู่ที่    เป็นผู้มักโกรธ  เป็นผู้ถือโกรธ. 
        คู่ที่    เป็นผู้ลบหลู่  เป็นผู้ตีเสมอท่าน.
        คู่ที่    เป็นผู้มีปกติอิสสา  เป็นผู้มีปกติตระหนี่.
        คู่ที่    เป็นผู้อวดดี  เป็นผู้เจ้ามายา.
        คู่ที่    เป็นผู้มีปรารถนาลามก  มีความเห็นผิด.
        คู่ที่    เป็นผู้ถือแต่ความเห็นของตน  ถืออย่างแน่นแฟ้น  รวมเข้าในภาวะเป็นผู้มีจิตสัมปยุตด้วย  โลภะ  โทสะ  โมหะ.
                  วิวาทาธิกรณ์เรื่องใหญ่ ๆ  ท่านนำมากล่าวไว้    เรื่องคือ :-
๑.
   เรื่องพระธรรมกถึกกับพระวินัยธร  เรื่องนี้จัดเข้าในเภทกรวัตถุ
      ที่    และที่    ระงับด้วยยอมกันเอง.
๒.
  เรื่องภิกษุชาววัชชีบุตรกล่าววัตถุ  ๑๐  ประการ  เรื่องนี้จัดเข้าใน
      คู่ที่    สงฆ์ระงับตามลำพังด้วยการชี้ขาด.
๓.
  เรื่องเดียรถีย์ปลอมบวชในพระศาสนา  เรื่องนี้จัดเข้าในคู่ที่     ระงับด้วยอำนาจอาณาจักร.
                       วัตถุ  ๑๐  ประการ  (โดยย่อ)  คือ :-
๑.
  เรื่องเกลือในเขนง  (สิงฺคิโลณกปฺป).
๒.
  เรื่องสองนิ้ว  (ทฺวงฺคุลิกปฺป).
๓.
  เรื่องเข้าละแวกบ้าน  (คามนฺตรกปฺป).
๔.
  เรื่องอาวาส  (อาวาสกปฺป).
๕.
  เรื่องอนุมัติ  (อนุมติกปฺป).
๖.
  เรื่องเคยประพฤติมา  (อาจิณฺณกปฺป).
๗.
  เรื่องไม่ได้กวน  (อมถิตกปฺป).
๘.
  เรื่องสุราอย่างอ่อน  (กปฺปติ  ชโลคึ  ปาตุ).
๙.
  เรื่องผ้านิสีทนะ  (กปฺปติ  อทสก  นิสีทน).
๑๐. เรื่องเงินทอง
  (ชาตรูปรชต).
        วิธีระงับวิวาทาธิกรณ์ครั้งที่   คือประชุมภิกษุชาวปาจีนและชาวปาฐาที่วาลุการาม  เมืองไพศาลี  เลือกภิกษุฝ่ายละ    รูป  คือ :-
                       ภิกษุฝ่ายปาจีน    รูป  คือ :-
๑.
  พระสัพพกามี.
๒.
  พระสาฬหะ.
๓.
  พระขุชชโสภิต.
๔.
  พระวาสภคามี.
                       ภิกษุฝ่ายปาฐา    รูป  คือ :-
๑.
  พระเรวตะ.
๒.
  พระสัมภูตะ  สาณวาสี.
๓.
  พระยศ  กากัณฑกบุตร.
๔.
  พระสุมนะ.
        ทางป้องกันวิวาทาธิกรณ์ในส่วนธรรมและวินัย  พระศาสดาและพระสาวกได้ทำมา  มี   ทาง  คือ :-
๑.
  ได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์  อันระบุถึงหัวใจพระศาสนาในที่ประชุมสงฆ์เนือง ๆ. ๒.  ได้ทรงตั้งธรรมเนียมทำสังฆอุโบสถ  ด้วยสวดปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน.
๓.
  พระสาวกได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัย  ตั้งไว้เป็นแบบแผนเป็นคราว ๆ มา.
                            วิธีระงับวิวาทาธิกรณ์  มี    คือ :-
๑.
  สัมมุขาวินัย  วิธีระงับต่อหน้า.
๒.
  เยภุยยสิกา  วิธีระงับเป็นไปตามข้างมาก.
                              สัมมุขาวินัย  มี    วิธี  คือ :-
๑.
  ด้วยการตกลงกันเอง.
๒.
  ด้วยการตั้งผู้วินิจฉัย.
๓.
  ด้วยอำนาจแห่งสงฆ์.
           (๑)  วิธีระงับด้วยการตกลงกันเองสงเคราะห์ด้วยองค์   คือ :-
๑.
  สงฺฆสมฺมุขตา  ความเป็นต่อหน้าสงฆ์.
๒.
  ธมฺมสมฺมุขตา  ความเป็นต่อหน้าธรรม.
๓.
  วินยสมฺมุขตา  ความเป็นต่อหน้าวินัย.
๔.
  ปุคฺคลสมฺมุขตา  ความเป็นต่อหน้าบุคคล.
            (แต่เสด็จ ฯ เข้าพระทัยว่า  สงฺฆสมฺมุขตา  ไม่มีในวินัยนี้).
       ผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นผู้วินิจฉัย  เมื่อตนอาจวินิจฉัยควรให้ผู้เลือกปฏิญญา    ข้อก่อน  คือ :-
๑.
  จะแจ้งข้ออธิกรณ์นั้นตามจริง.
๒.
  จักยอมรับความวินิจฉัยอันชอบแก่ธรรมวินัยและสัตถุสาสน์.
                        (๒)  วิธีระงับด้วยการตั้งผู้วินิจฉัย
        สงเคราะห์ด้วยองค์    เว้น  สงฺฆสมฺมุขตา  บ้าง  ด้วยองค์    บ้าง,(แต่เสด็จ ฯ  ทรงเห็นว่า  สงฺฆสมฺมุขตา  ไม่น่าได้ในอธิการนี้).
                    (๓)  วิธีระงับด้วยอำนาจแห่งสงฆ์  คือ :-๑.  สงฆ์เห็นภิกษุบางพวกประพฤติผิดแผกออกไป  ไม่เห็นชอบด้วยนเข้าประชุมเป็นสงฆ์วินิจฉัยข้อที่แผกกันนั้นว่าผิด  ด้วยอาณาสงฆ์.
๒.
  มีภิกษุเป็นคู่วิวาท  แม้เธอจะไม่มอบให้วินิจฉัย  เห็นแก่พระธรรม วินัย  ชี้ขาดข้อที่ผิดด้วยอาณาสงฆ์ก็ได้.
    สัมมุขาวินัยนี้  สงเคราะห์ด้วยองค์    เว้น  ปุคฺคลสมฺมขตา  บ้าง ด้วยองค์    บ้าง.

         ภิกษุผู้ที่สงฆ์ควรมอบอธิกรณ์ให้แยกไปวินิจฉัย  (วิธีนี้เรียกอุพพาหิกา)  ควรประกอบด้วยองค์  ๑๐ คือ :-
๑.
  เป็นผู้มีศีล.
๒.
  เป็นพหูสูต.
๓.
  เป็นผู้ทรงพระปาฏิโมกข์.
๔.
  เป็นผู้มั่นในพระวินัย  ไม่คลอนแคลน.
๕.
  เป็นผู้อาจชี้แจงให้คู่วิวาทเข้าใจและให้เลื่อมใส.
๖.
  เป็นผู้ฉลาดเพื่อยังอธิกรณ์อันเกิดขึ้นให้ระงับ.
๗.
  รู้เรื่องอธิกรณ์.
๘.
  รู้เหตุเกิดอธิกรณ์.
๙.
  รู้การตัดอธิกรณ์.
๑๐. รู้ทางตัดอธิกรณ์.
                                 เยภุยยสิกา
        ภิกษุผู้ควรที่จะสมมติให้เป็นผู้จับสลากต้องประกอบด้วยองค์  ๕คือ :-
๑.
  ไม่ถึงอคติ    อย่าง  นับเป็น    องค์.
ข.
  รู้จักสลากที่เป็นอันจับและไม่เป็นอันจับเป็นองค์หนึ่ง.
                       วิธีให้จับสลาก  มี    คือ :-
๑.
  ปกปิด.
๒.
  กระซิบบอก.
๓.
  เปิดเผย.
               เยภุยยสิกาไม่ควรใช้ในเรื่องเหล่านี้  คือ :-
๑.
  ไม่ควรใช้ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ไปถึงไหน.
๒.
  ไม่ควรใช้เพื่อสนับสนุนมติอันไม่เป็นธรรม.
๓.
  ไม่ควรใช้เพื่อแยกสงฆ์ออกเป็นพวก.
     การให้จับสลากแม้ในเรื่องที่สมควร  หากให้จับโดยวิธีมิชอบเหล่านี้ใช้ไม่ได้  คือ :-
๑.
  ให้จับด้วยอาการผิดระบอบ  คือเมื่อภิกษุยังไม่พร้อมกัน.
๒.
  เธอทั้งหลายไม่ได้จับตามมติ.
                                       กัณฑ์ที่  ๒๙
                                วิธีระงับอนุวาทาธิกรณ์

                              เรื่องที่จัดว่ามีมูล    คือ :-
๑.
  เรื่องที่ได้เห็นเอง.
๒.
  เรื่องที่ได้ยินเอง  หรือมีผู้บอกและชื่อว่าเป็นจริง.
๓.
  เรื่องที่รังเกียจโดยอาการ.
       ภิกษุผู้จะว่าอรรถคดีในเมื่อเห็นพร้อมด้วยองค์   จึงควรว่าองค์    นั้น  คือ :-
๑.
  เป็นกาลอันสมควร.
๒.
  เป็นเรื่องจริง  (หรือแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น).
๓.
  จักได้ภิกษุผู้เคยเห็นกันผู้เคยพบกันเข้าเป็นฝ่าย  โดยธรรมโดยวินัย.
๕.
  ความยุ่งยิ่งตลอดถึงความแตกแห่งสงฆ์  มีการนั้นเป็นเหตุจักไม่มี.
                ภิกษุผู้จะเป็นโจทก์พึงตั้งอยู่ในธรรม   คือ :-
๑.
  จักพูดโดยกาละ  จักไม่พูดโดยอกาละ.
๒.
  จักพูดด้วยคำจริง  จักไม่พูดด้วยคำเท็จ.
๓.
  จักพูดด้วยคำสุภาพ  จักไม่พูดคำหยาบ.
๔.
  จักพูดด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์  จักไม่พูดด้วยคำไร้ประโยชน์.
๕.
  จักมีเมตตาจิตพูด  จักไม่เพ่งโทษพูด.
                   อีกประการหนึ่ง  พึงทำไว้ในใจซึ่งธรรม    คือ :-
๑.
  ความการุญ.
๒.
  ความหวังประโยชน์.
๓.
  ความเอ็นดู.
๔.
  ความออกจากอาบัติ.
๕.
  ความทำวินัยเป็นเบื้องต้น.
                                การโจท  มี    คือ :-
๑.
  โจทด้วยกาย.
๒.
  โจทด้วยวาจา.
                       ผู้วินิจฉัยอธิกรณ์  มีรวม    คือ :-
๑.
  สงฆ์  (สำหรับเรื่องสลักสำคัญ).
๒.
  คณะ  (สำหรับเรื่องไม่สำคัญนัก).
๓.
  บุคคล  (สำหรับเรื่องเล็กน้อย).
                ภิกษุผู้จะเข้าสู่วินิจฉัย  ควรประพฤติ  ดังนี้ :-
๑.
  พึงเป็นผู้เจียมตน.
๒.
  พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง  (ไม่เบียดพระเถระ  ไม่กีดภิกษุผู้อ่อนกว่า).
๓.
  พึงนั่งอาสนะอันสมควร.
๔.
  ไม่พึงพูดเรื่องต่าง ๆ.
๕.
  พึงรักษาดุษณีภาพ.
                   คำขอโอกาสของโจทก์ต่อจำเลย
        " กโรตุ  เม  อายสฺมา  โอกาส  อหนฺต  วตฺตุกาโม "
      ขอท่านจงทำโอกาสแก่ข้าพเจ้า ๆ  ใคร่จะกล่าวกะท่าน.
                               คำให้โอกาสต่อโจทก์
                           " กโรมิ  อายสฺมโต  โกาส "
                            ข้าพเจ้าทำโอกาสแก่ท่าน.
       ภิกษุผู้พร้อมด้วยองค์   ขอให้ทำโอกาส  ไม่ควรทำ  องค์  ๕นั้น  คือ :-
๑.
  เป็นผู้มีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์.
๒.
  เป็นผู้ประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์.
๓.
  เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์.
๔.
  เป็นผู้เขลาไม่ฉลาด.
๕.
  ถูกซักเข้าไม่อาจให้คำตอบข้อที่ถูกซัก.
                       องค์    อีกประเภทหนึ่ง  คือ :-
๑.
  เป็นอลัชชี.
๒.
  เป็นผู้พาล.
๓.
  เป็นผู้มิใช่ปกตัตตะ.
๔.
  เป็นผู้มีปรารถนาในอันกำจัดกล่าว.
๕.
  หาใช่ผู้มีปรารถนาในอันให้ออกจากอาบัติกล่าวไม่.
       ถ้าจำเลยยอมทำโอกาสมาแต่ต้น  พึงพิจารณา  ลักษณะโจทก์ว่าต้องด้วยลักษณะกัณหปักข์  ดังต่อไปนี้หรือไม่  คือ :-
๑.
  เป็นผู้พร้อมด้วยองค์    ประการ  คือ  เป็นอลัชชี  เป็นผู้พาล  เป็นผู้มิใช่ปกตัตตะ  เป็นผู้มีปรารถนาในอันกำจัดกล่าว  หาเป็นผู้มีปรารถนาให้ออกจากอาบัติกล่าวไม่.
๒.
  เป็นผู้มีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์  เป็นผู้มีความประพฤติ ทางวาจาไม่บริสุทธิ์  เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์  เป็นผู้เขลาไม่ฉลาด เป็นผู้ทำการยุ่งยิ่งและการทะเลาะ.
      (ถ้าโจทก์พร้อมด้วยองค์อย่างนี้  ยกฟ้องของโจทก์เสีย  และถ้าโจทนาของโจทก์ไม่มีมูล  ก็ยกฟ้องเช่นเดียวกัน).
       ถ้าภิกษุผู้สมควรได้รับเลือกให้เป็นผู้พิจารณา  คือผู้ซักความมีลักษณะ    คือ :-
๑.
  เป็นผู้มีศีล  เป็นพหูสูต  เป็นผู้ทรงปาฏิโมกข์  เป็นผู้อาจเพื่อชี้แจง ให้คู่ความเข้าใจและให้เลื่อมใส.
๒.
  เป็นผู้มีกายสมาจารบริสุทธิ์  วจีสมาจารบริสุทธิ์  อาชีวะบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิตฉลาดเฉลียว  อาจชี้แจงข้อที่ถูกซักถาม.
๓.
  รู้วัตถุ  รู้นิทาน  รู้พระบัญญัติ  รู้บทที่ตกภายหลัง  รู้คลองแห่ง คำอันเข้าอนุสนธิ์กันได้.
๔.
  รู้ธรรม  รู้วินัยกับทั้งอนุโลม  เป็นผู้ฉลาดในฐานะและอฐานะ  คือ เหตุที่อาจเป็นไปได้และไม่อาจเป็นได้  เป็นผู้ฉลาดในอรรถและ พยัญชนะเบื้องต้นเบื้องปลาย  (ที่สมกันหรือแย้งกัน)  เป็นผู้ฉลาดในวินิจฉัย.
                  ภิกษุอันสงฆ์เลือกให้เป็นผู้พิจารณานั้น  พึงมีลักษณะดังต่อไปนี้ :-
        พึงเป็นผู้หนัก  (คือเคารพ)  ในสงฆ์  ไม่พึงเป็นผู้หนักในบุคคล พึงเป็นผู้หนักในพระสัทธรรม  ไม่พึงเป็นผู้หนักในอามิส  พึงเป็นผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคดี  ไม่พึงเป็นผู้เห็นแก่บริษัท  พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง พึงนั่ง    อาสนะของตน  ทอดตาชั่วแอก  เพ่งเนื้อความ  ไม่ลุกจากอาสนะไปข้างไหน  ไม่พึงเสพทางเสีย  ไม่พึงพูดส่ายคำ  (หรือส่ายแขน)พึงเป็นผู้ไม่พูดพล่อย  เป็นผู้พูดมีที่สุด  พึงเป็นผู้ไม่ลุกลน  เป็นผู้ไม่ผลุนผลัน  พึงเป็นผู้ไม่ผูกเวร  เป็นผู้ไม่ขัดเคือง  พึงเป็นผู้ไม่ดุดันเป็นผู้อดได้ต่อถ้อยคำ  พึงเป็นผู้มีเมตตาจิต  เป็นผู้คิดเอ็นดูเพื่อประ-โยชน์  พึงเป็นผู้มีกรุณา  เป็นผู้ขวนขวายเพื่อประโยชน์  พึงรู้จักตนพึงรู้จักท่าน  พึงสังเกตโจทก์  พึงสังเกตจำเลยว่าเป็นผู้เช่นไร  เป็นผู้ประหม่าพึงพูดเอาใจให้ร่าเริง  เป็นผู้ขลาดพึงพูดปลอบ  เป็นผู้ดุพึงห้ามเสีย  เป็นผู้ไม่สะอาด  (โดยความประพฤติ)  พึงดัดเสีย  เป็นผู้ตรงพึงประพฤติต่อด้วยความอ่อนโยน  ไม่พึงถึงฉันทาคติ  โทสาคติโมหาคติ  ภยาคติ  พึงวางตนเป็นกลางทั้งในธรรมทั้งในบุคคล  เมื่อซักพึงซักโดยกาล  ไม่พึงซักโดยอกาล  พึงซักด้วยคำจริง  ไม่พึงซักด้วยคำเท็จ  พึงซักด้วยคำสุภาพ  ไม่พึงซักด้วยคำหยาบ  พึงซักด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ในคดี  ไม่พึงซักด้วยคำไร้ประโยชน์  พึงเป็นผู้มีเมตตาจิตซัก  ไม่พึงเป็นผู้เพ่งโทษ  (เช่นน้อมใจเชื่อว่าจำเลยทำผิดจริงหรือโจทก์ใส่ความ)  ไม่พึงเป็นผู้กระซิบที่หู  ไม่พึงชำเลืองดู  ไม่พึงขยิบตา  ไม่พึงเลิกคิ้ว  ไม่พึงชะเง้อศีรษะ  ไม่พึงทำวิการแห่งมือ(คือใช้ใบ้)  ไม่พึงแสดงปลายนิ้วมือในขณะซัก  พึงกำหนดข้อความอันสองฝ่ายกล่าวมิให้ตกหล่น  ไม่พึงแซมข้อความอันเขาไม่ได้กล่าวพึงจำถ้อยคำอันเข้าประเด็นไว้เป็นอย่างดี  โดยนัยนี้  พึงกำหนดรู้ผู้ โจทก์โจทโดยธรรมหรือโดยอธรรม  พึงกำหนดรู้ผู้ถูกโจทโดยธรรมหรือโดยอธรรม  ถามให้รับสารภาพแล้วให้ทำตามปฏิญญา.
        อนึ่ง  มีข้อที่แปลกอยู่  ท่านห้ามไม่ให้ถามอุปัชฌาย์  อาจารย์สัทธิวิหาริก  อันเตวาสิก  ผู้ร่วมอุปัชฌาย์  ผู้ร่วมอาจารย์  และมิให้ถามถึงชาติ  ชื่อโคตร  อาคมคือปริยัติที่เรียน  กุล  ประเทศ  ชาติภูมิ  เพราะความรักหรือความชังจะพึงบังเกิดขึ้นในเมื่อได้รู้เรื่อง  เป็นทางถึงอคติ  ๔.
                  จำเลยพึงตั้งอยู่ในธรรม   ประการ  คือ :-
๑.
  ให้การตามความจริง.
๒.
  ไม่ขุ่นเคือง.
        ถ้าจำเลยปฏิญญาเป็นธรรม  คือ  สมเรื่อง  สมราว  สมเหตุสมผลพึงให้ทำตามปฏิญญา  อย่างนี้  อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ   คือ :-
๑.
  สัมมุขาวินัย.
๒.
  ปฏิญญาตกรณะ.
                สัมมุขาวินัยในอธิการนี้พร้อมด้วยองค์   คือ :-
๑.
  สงฺฆาสมฺมุขตา.
๒.
  ธมฺมสมฺมุขตา.
๓.
  วินยสมฺมุขตา.
๔.
  ปุคฺคลสมฺมุขตา.
ถ้าคำปฏิญญาของจำเลยไม่เป็นธรรม
  หรือแบ่งรับเบาลงมา แต่มีคำพยานเป็นหลักฐาน  ควรฟังได้ว่าจำเลยผิดหนักกว่าที่ปฏิญญาพึงปรับจำเลยตามคำพยานนั้นได้  อย่างนี้  อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ    คือ :-
๑.
  สัมมุขาวินัย.
๒.
  ตัสสปาปิยสิกา.
        ถ้าจำเลยปฏิเสธ  ผู้พิจารณาพึงซักถามถึงเรื่องอันจำเลยทำถึงวิบัติอาบัติอัธยาจารอันเนื่องมาแต่เรื่องนั้น  พึงซักถามถึงรูปพรรณสัณฐานของผู้ทำ  อิริยาบถและอาการเมื่อกำลังทำ  พึงซักถามถึงกาลอันต่างโดยปี  เดือน  วัน  เวลา พึงซักถามถึงฐานที่และทิศที่ทำโดยสมควรแก่เรื่องที่โจทก์ว่าได้เห็นเองและได้ฟังเอง  พึงซักถามถึงชื่อผู้บอกคำและเหตุให้บอก  ประกอบกับกาลและฐานที่ ๆ เขาบอก  โดยสมควรแก่เรื่องที่โจทก์ว่ามีผู้บอก  พึงซักถามถึงอาการทำให้เกิดรังเกียจอันได้เห็นหรือได้ฟัง  ประกอบกับลักษณะอันกล่าวแล้ว  โดยสมควรแก่เรื่องที่โจทก์ตั้งรังเกียจ.
        วิธีซักถามจำเลย  ท่านมิได้แสดงไว้  แต่พึงซักโดยนัยนั้นเป็นต้นว่าซักถามถึงฐานที่อยู่ในวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา.
        คำบาลีว่า  " เห็นสมด้วยเห็น, เห็นเทียบกันได้กับเห็น, เห็นยันกันไม่เข้ากัน  ฯ ล ฯ  พระมติของสมเด็จ ฯ  ว่าคำนี้แสดงลักษณะคำพยานที่ควรฟังได้หรือมิได้  ข้อว่าเห็นสมด้วยเห็นนั้น  เช่นโจทก์หาว่าได้เห็นจำเลยทำการละเมิดอย่างนั้น ๆ  พยานโจทก์เบิกความสมกันโดยอาการวันเวลาฐานที่และอื่น ๆ  ไม่มีข้อแตกต่าง  คำพยานมีลักษณะอย่างนี้ควรฟัง ได้  ข้อว่าเห็นเทียบกันได้กับเห็นนั้น  เช่นพยานโจทก์เบิกความสมโดยใจความ  แต่แตกต่างบ้างโดยพลความอันไม่สำคัญ  คำพยานมีลักษณะเช่นนี้ควรฟังได้เหมือนกัน  ข้อว่าเห็นยันกัน  ไม่เข้ากันนั้น   เช่นพยานโจทก์เบิกความแตกต่างจากคำของโจทก์โดยใจความสำคัญ  หรือคำของพยานผู้นั้นเอง  ในเมื่อถูกซัก  เบิกต้นกับปลายไม่สมกัน  คำพยานมีลักษณะอย่างนี้ไม่ควรฟังโดยแท้  คำจำเลยกับพยานของจำเลย  ก็พึงสันนิษฐานโดยลักษณะอย่างเดียวกัน  และคำพยานในฝ่ายเดียวกันสนับสนุนกันหรือหักล้างกัน  ก็พึงรู้โดยลักษณะนั้น  แม้คำพยานผ่าหมากเช่นคำพยานฝ่ายจำเลยเบิกสมมาข้างโจทก์  และคำพยานฝ่ายโจทก์เบิกสมไปข้างจำเลย  ควรฟังได้ตามลักษณะนี้เหมือนกัน.
        พระมติของสมเด็จ ฯ ว่า  บท  " สวจนีย "  " ความเป็นผู้มีคำอันจะพึงกล่าว "  " สวนีย "  " คำอันจะพึงฟัง "  ได้แก่การสืบพยานหรือคำพยาน.
         เมื่อผู้พิจารณาทำคำวินิจฉัยแถลงแก่สงฆ์แล้ว  สงฆ์ย่อมมีธุระ๒  อย่าง  คือ :-
๑.
  สอดส่อง.
๒.
  รับรอง.
           ทิฏฐาวิกัมม์  (ทำความเห็นให้แจ้ง  คือแสดงความเห็นแย้ง)อันชอบแก่ระเบียบนั้น  ดังนี้ :-
๑.
  ทำความเห็นให้แจ้งในอาบัติ.
๒.
  ทำความเห็นให้แจ้งในอาบัติเป็นเทสนาคามินี.
๓.
  ทำความเห็นให้แจ้งในอาบัติอันยังไม่ได้แสดง.
๔.
  ไม่ทำความเห็นให้แจ้งพร้อมกัน  ๔ รูป  ๕ รูป.
๕.
  ไม่ทำความเห็นให้แจ้งด้วยนึกในใจ.
๖.
  ทำความเห็นให้แจ้งในสมานสังวาส.
๗.
  ทำความเห็นให้แจ้งในสำนักตั้งอยู่ในสีมาเดียวกัน.
๘.
  ทำความเห็นให้แจ้งในสำนักแห่งผู้เป็นปกตัตตะ.
        มีวิธีระงับอนุวาทาธิกรณ์ด้วยไม่ต้องพิจารณาอีก   คือ :-
๑.
  จำเลยเป็นผู้มีสติไพบูลย์  คือเป็นพระอรหันต์  สงฆ์ประกาศให้สติ วินัยแก่ท่านแล้ว.
๒.
  จำเลยถูกโจทด้วยเรื่องที่ทำในคราวเป็นบ้า  สงฆ์ประกาศให้อมูฬห-วินัยแก่เธอแล้ว.
        ผลร้ายของอนุวาทาธิกรณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่รีบระงับเสีย  จักทำให้เสียสีลสามัญญตาและเสียสามัคคี  เป็นทางแตกเป็นนานาสังวาสจนถึงเป็นนานานิกาย  ฉะนั้น  ผู้เป็นประธานสงฆ์พึงขวนขวายรีบระงับเสีย.
                                       กัณฑ์ที่  ๓๐
                                วิธีระงับอาปัตตาธิกรณ์

                  อาปัตตาธิกรณ์ย่อมระงับในสำนัก   คือ :-
๑.
  ระงับในสำนักบุคคล.
๒.
  ระงับเฉพาะในสำนักสงฆ์.
           อาปัตตาธิกรณ์ระงับในสำนักบุคคลด้วยสมถะ   คือ :-
๑.
  สัมมุขาวินัย.
๒.
  ปฏิญญาตกรณะ.
               สัมมุขาวินัยในอธิการนี้พร้อมด้วยองค์  ๓ คือ :-
๑.
  ธมฺมสมฺมุขตา.
๒.
  วินยสมฺมุขตา.
๓.
  ปุคฺคลสมฺมุขตา.
         (ปุคฺคลสมฺมุขตา  ได้แก่ภิกษุผู้แสดงและผู้รับอยู่พร้อมกัน).
      อาปัตตาธิกรณ์ระงับเฉพาะในสำนักสงฆ์นั้น  แยกออกเป็น  ๒อย่างคือ :-
๑.
  ครุกาบัติที่ออกด้วยวุฏฐานวิธี.
๒.
  ลหุกาบัติที่แสดงด้วยติณวัตถารกวิธี.
                        วุฏฐานวิธีนั้น  มี    อย่าง  คือ :-
๑.
  ปริวาส  อยู่ใช้  (เท่าวันที่ปิด).
๒.
  มานัต  นับ  (ราตรี  ๖ ราตรี).
๓.
  อัพภาน  เรียกเข้า  (หมู่).
๔.
  ปฏิกัสสนา  กิริยาชักเข้าหาอาบัติเดิม.
                       วุฏฐานวิธีสำหรับอาบัติที่ไม่ได้ปิด
        การกล่าวคำขอมานัตโดยสมควรแก่อาบัติที่ต้องนั้น  คือ :-
๑.
  ถ้าต้องตัวเดียว  พึงขอเพื่ออาบัติตัวเดียว.
๒.
  ถ้าต้องตั้งแต่  ๒ ตัวขึ้นไป  พึงขอประมวลจำนวนเพื่ออาบัติ นั้น.
๓.
  ถ้าต้องต่างวัตถุ  พึงขอประมวลวัตถุด้วยอาบัติเหล่านั้น.
                            คำกล่าวเก็บวัตรดังนี้ :-
๑.
  มานตฺต  นิกฺขิปามิ  ข้าพเจ้าเก็บมานัต  หรือ
๒.
  วตฺต  นิกฺขิปามิ  ข้าพเจ้าเก็บวัตร.
    (ตามอรรถกถานัยว่าทั้ง   อย่าง  ว่าเก็บวัตรก่อนแล้วจึงว่าเก็บมานัตดังนี้  " วตฺต  นิกฺขิปามิ  มานตฺต  นิกฺขิปามิ "  ๓ หน).
                คำกล่าวสมาทานวัตรเรียกว่าขึ้นวัตรดังนี้ :-
๑.
  มานตฺต  สมาทิยามิ  ข้าพเจ้าขึ้นมานัต  หรือว่า
๒.
  วตฺต  สมาทิยามิ  ข้าพเจ้าขึ้นวัตร.
    (ตามอรรถกถานัยว่าทั้ง   อย่าง  ว่าคำสมาทานมานัตก่อนแล้วจึงว่าคำสมาทานวัตร  ดังนี้  " มานตฺต  สมาทิยามิ  วตฺต  สมาทิยามิ "ว่า    หน).
                รัตติเฉท  แปลว่าขาดราตรีแห่งมานัต  มี    คือ :-
๑.
  สหวาโส  อยู่ร่วม.
๒.
  วิปฺปวาโส  อยู่ปราศ.
๓.
  อนาโรจนา  ไม่บอก.
๔.
  อูเน  คเณ  จรณ  ประพฤติในคณะอันพร่อง.
                              อนาโรจนานั้น  มี    คือ :-
๑.
  ไม่บอกการที่ตนประพฤติมานัติทุกวัน.
๒.
  ไม่บอกแก่ปกตัตตภิกษุผู้ยังไม่ได้รับบอกในวันนั้น.
           อาวาสที่อยู่ประพฤติมานัตอันเหมาะแก่กิจที่สำคัญ  คือการบอกนั้นประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้  คือ :-
๑.
  ในอาวาสนั้นมีภิกษุน้อย.
๒.
  ห่างจากการไปมาของภิกษุอื่น.
๓.
  มีภิกษุมากพอรู้ได้.
               (นอกจากนี้มีกุฎีเดี่ยวที่จะอยู่ได้ตามลำพังรูปเดียว).
        มีพระบัญญัติห้ามมานัตตจาริกภิกษุไม่ให้ยินดี  คือเต็มใจรับการอภิวาท  การลุกรับ  อัญชลิกรรม  สามีจิกรรม  การนำอาสนะมาให้การนำที่นอนมาให้  การล้างเท้า  การตั้งตั่งรองเท้า  การตั้งกระเบื้องเช็ดเท้า  การับบาตรจีวร  การถูหลังในเวลาอาบน้ำของปกตัตตภิกษุปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ละเมิด.
        ทรงอนุญาตให้มานัตตจาริกภิกษุทำกิจเหล่านั้น  เป็นคู่กันตามแก่อ่อนพรรษา  และทรงอนุญาตอุโบสถ  ปวารณา  ผ้าวัสสิกสาฏิกาการสละภัต  การรับภัต    อย่างนี้  ให้มานัตตจาริกภิกษุทำตามลำดับพรรษาแม้กับปกตัตตะภิกษุ.
        วัตรสำหรับมานัตตจาริกภิกษุอรีกส่วนหนึ่ง  จัดเป็นหมวด ๆได้ดังนี้ :-
๑.
  ไม่พึงให้อุปสมบท  ไม่พึงให้นิสัย  ไม่พึงมีสามเณรไว้อุปัฏฐาก  ไม่    พึงรับสมมติเป็นผู้สอนภิกษุณี  แม้ได้รับสมมติไว้แล้ว  ไม่พึงสั่งสอน    ภิกษุณี.
๒.
  สงฆ์ให้มานัตเพื่ออาบัติใด  ไม่พึงต้องอาบัตินั้นหรืออาบัติอื่นอัน    เช่นกัน  หรืออาบัติอันเลวทรามกว่านั้น.
๓.
  ไม่พึงติกรรมนั้น  ไม่พึงติภิกษุทั้งหลายผู้ทำกรรมนั้น  ไม่พึงห้าม    อุโบสถ  ไม่พึงห้ามปวารณา  แก่ปกตัตภิกษุ  ไม่พึงทำความมีคำ    ไม่พึงเริ่มอนุวาทาธิกรณ์  ไม่พึงยังภิกษุอื่นให้ทำโอกาสเพื่อโจทเธอ ไม่พึงโจทภิกษุอื่น  ไม่พึงยังภิกษุอื่นให้ให้การ  ไม่พึงช่วยภิกษุ ทั้งหลายให้สู้กันในอธิกรณ์.
๔.
  ไม่พึงไปข้างหน้า  ไม่พึงนั่งข้างหน้า  แห่งปกตัตตภิกษุ  พึงพอใจ  ด้วยอาสนะสุดท้าย  ด้วยที่นอนสุดท้าย  ด้วยวิหารคือกุฎีสุดท้าย (คือเป็นของเลวที่แจกทีหลัง).
๕.
  ไม่พึงมีปกตัตตภิกษุเป็นปุเรสมณะคือนำหน้า  หรือเป็นปัจฉาสมณะ คือตามหลังเข้าไปสู่สกุล  ไม่พึงสมาทานอรัญญิกธุดงค์  ไม่พึง สมาทานปิณฑปาติกธุดงค์  และไม่พึงให้เขานำบิณฑบาตมาส่ง  เพราะปัจจัยนั้น  ด้วยคิดว่าเขาอย่ารู้เรา.
๖.
  เป็นอาคันตุกะ  (ไปสู่อาวาสอื่น)  พึงบอก  (การที่ตนประพฤติมานัต)  มีอาคันตุกะมาก็พึงบอก  พึงบอกในอุโบสถ   พึงบอกใน ปวารณา  พึงบอกทุกวัน ถ้าอาพาธพึงสั่งทูตให้บอก.
๗.
  ไม่พึงออกจากอาวาสหรือจากถิ่นมิใช่อาวาสอันมีภิกษุ  ไม่พึงไปสู่   อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาสอันหาภิกษุมิได้  หรือมีภิกษุแต่เป็นนานา- สังวาส เว้นแต่ไปกับสงฆ์  เว้นแต่มีอันตราย พึงไปได้เฉพาะ  อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาสอันมีภิกษุเป็นสมานสังวาส  ที่รู้ว่าอาจไป ถึงในวันนั้น.
๘.
  ไม่พึงอยู่ในที่มุงอันเดียวกัน  ในอาวาสก็ดี ในถิ่นมิใช่อาวาสก็ดี  กับด้วยปกตัตตภิกษุ.
๙. เห็นปกตัตตภิกษุเข้าแล้ว
  พึงลุกจากอาสนะ พึงเชิญให้นั่ง  ไม่พึงนั่งบนอาสนะเดียวกันกับปกตัตตภิกษุ เมื่อเธอนั่ง ณ อาสนะต่ำ
    ไม่พึงนั่ง ณ  อาสนะสูง  เมื่อเธอนั่ง ณ  พื้นดิน ไม่พึงนั่ง   อาสนะ ไม่พึงจงกรมในที่จงกรมเดียวกันกับปกตัตตภิกษุ  เมื่อเธอจงกรม อยู่ในที่จงกรมต่ำ  ไม่พึงจงกรมในที่จงกรมสูง เมื่อเธอจงกรม      พื้นดิน ไม่พึงจงกรมในที่จงกรม.
๑๐.
  กับภิกษุผู้อยู่ปริวาส กับภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม  กับภิกษุผู้ ควรมานัต  กับภิกษุผู้ประพฤติมานัตแก่กว่า กับภิกษุผู้ควรอัพภาน  ไม่พึงอยู่ในที่มุ่งเดียวกัน  ในอาวาสก็ดี  ในถิ่นมิใช่อาวาสก็ดี ไม่พึงนั่ง ณ  อาสนะเดียวกัน เธอนั่ง ณ อาสนะต่ำ  ไม่พึงนั่ง ณ  อาสนะสูง เธอนั่ง  ณ พื้นดิน  ไม่พึงนั่ง ณ อาสนะ ไม่พึงจงกรม  ในที่จงกรมเดียวกัน เมื่อเธอจงกรมอยู่ในที่จงกรมต่ำ ไม่พึงจงกรม  ในที่จงกรมสูง  เมื่อเธอจงกรมอยู่ ณ  พื้นดิน ไม่พึงจงกรมในที่  จงกรม.
            หมวดที่ ๑  โดยใจความ ห้ามไม่ให้ทำการในหน้าที่ของเถระแม้เป็นเถระมีหน้าที่ทำการอย่างนั้นอยู่  ก็จำงดชั่วคราว.
            หมวดที่ ๒ ให้ตั้งอยู่ในความระมัดระวัง  ตามจารีตของผู้ทำผิดอย่างไดไว้  กำลังใช้กรรมอยู่ ไม่ควรทำความผิดอย่างนั้น  หรืออย่างอื่นอันคล้ายคลึงกันก็ดี  ร้ายแรงกว่าก็ดี.
            หมวดที่ ๓  ห้ามไม่ให้ถือสิทธิแห่งปกตัตตภิกษุ.
            ๓ หมวดนี้ในบาลีนับรวมเป็นหมวดเดียวกัน.    
            หมวดที่ ๔  ห้ามสิทธิอันจะพึงถือเอาโดยลำดับพรรษา.
            หมวดที่ ๕  ห้ามไม่ให้เชิดตัว  และให้ระวังเพื่อเป็นอย่างนั้น.
            หมวดที่ ๖  ให้บอกประจานตัว  ( เป็นรัตติเฉทด้วย ).
            หมวดที่ ๗  ห้ามวิปปวาส  คือการอยู่ปราศจากสงฆ์  ( เป็นรัตติ-เฉทด้วย ).
            ( หมวดนี้  ในบาลีแยกเป็น ๓ คือ  ห้ามไม่ให้ไปสู่ถิ่นอันหาภิกษุมิได้ ๑  มีภิกษุแต่เป็นนานาสังวาส ๑  ให้ไปเฉพาะถิ่นมีภิกษุเป็นสมาน-สังวาส ๑  ในตอนหนึ่ง ๆ  แจกออกเป็น ๓ วาระ  คืออาวาส ๑  ถิ่นมิใช่อาวาส ๑  ควบกันทั้งสองสถาน ๑  ทั้งถิ่นที่ออกไปทั้งถิ่นที่ไปสู่ ).
            หมวดที่ ๘  ห้ามการสมโภคกับปกตัตตภิกษุ  ( เป็นรัตติเฉทด้วย ).
            หมวดที่ ๙  ให้แสดงสามีจิกรรมแก่ปกตัตตภิกษุก็มี ห้ามสมโภค
ก็มี ( หมวดที่ ๘-๙ นี้
  บาลีนับรวมเป็นหมวดเดียวกัน ).
            หมวดที่ ๑๐  ห้ามสมโภคกับภิกษุผู้ประพฤติวุฏฐานวิธีด้วยกัน  แต่มีข้อให้แสดงสามีจิกรรมแก่เธอทั้งหลายด้วย.
                        วุฏฐานวิธีสำหรับอาบัติที่ปิด
           ลักษณะปิดอาบัติมี ๑๐ ประการ  จัดเป็น ๕ คู่  คือ :-
๑.
  เป็นอาบัติ  และรู้ว่าเป็นอาบัติ.
๒.
  เป็นปกตัตตะ และรู้ว่าเป็นปกตัตตะ.
๓.
  ไม่มีอันตราย  และรู้ว่าไม่มีอันตราย.
๔.
  อาจอยู่  และรู้ว่าอาจอยู่.
๕.
  ใคร่จะปิด  และปิดไว้.  
               ภิกษุไม่ใช่ผู้ควรรับบอก มี ๒ พวก  คือ :-
๑.
  ภิกษุนานาสังวาส.
๒.
  ภิกษุต้องสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม.
                      ปริวาส  มี ๓ ชนิด  คือ :-
๑.
  ปฏิจฉันนปริวาส  สำหรับอาบัติที่ปิด มีกำหนดนับวันได้เป็น  จำนวนเดียว.
๒. สโมธานปริวาส.
๓.
  สุทธันตปริวาส.
                    สโมธานปริวาสแจกออกเป็น ๓ คือ :-
๑.
  โอธานสโมธาน  สำหรับอาบัติกว่าจำนวนเดียว มีวันปิดเสมอ  กัน ฯ ล ฯ.
๒. อัคฆสโมธาน
  สำหรับอาบัติกว่าจำนวนเดียว มีวันปิดไม่เท่า กัน  ฯ ล ฯ.
๓.
  มิสสกสโมธาน สำหรับอาบัติต่างวัตถุกัน  มีวันปิดเสมอกันก็มี  ไม่เสมอกันก็มี.
            สุทธันตปริวาสนั้น  สำหรับอาบัติที่ต้องแล้วปิดไว้หลายคราวจนจำนวนอาบัติและจำนวนราตรีที่ปิดไม่ได้เลยทีเดียว  หรือจำได้บ้างแต่บางจำนวน.  
                  สุทธันตปริวาสจำแนกเป็น ๒ คือ :-
๑.
  จูฬสุทธันตปริวาส  สำหรับจำนวนอาบัติและจำนวนราตรีที่พอ จำได้บ้าง.
๒.
  มหาสุทธันตปริวาส  สำหรับจำนวนอาบัติและจำนวนราตรีที่จำ ไม่ได้เลยทีเดียว.
     วิธีเป็นเครื่องกะสำหรับผู้จำจำนวนราตรีไม่ได้  มี ๒ คือ :-
๑.
  กะในเบื้องต้น.
๒.
  กะในเบื้องปลาย.
                       คำเก็บปริวาสว่า ดังนี้ :-
      " ปริวาส  นิกฺขิปามิ "  ข้าพเจ้าเก็บปริวาส  หรือว่า  " วตฺต  นิกฺขิปามิ "  ข้าพเจ้าเก็บวัตร.
                      คำสมาทานปริวาส  ว่าดังนี้ :-
            " ปริวาส  สมาทิยามิ "  ข้าพเจ้าขึ้นปริวาส  หรือว่า " วตฺต  สมาทิยามิ "  ข้าพเจ้าขึ้นวัตร.
           ( โดยอรรถกถานัย  ว่าควบกันทั้ง ๒  อย่างดุจในมานัต ).
               รัตติเฉทแห่งปาริวาสิกภิกษุ  มี ๓ คือ :-
๑.
  สหวาโส  อยู่รวม.
๒.
  วิปฺปวาโส  อยู่ปราศ.
๓.
  อนาโรจนา  ไม่บอก.
            มีพระบัญญัติห้ามปาริวาสิกภิกษุไม่ให้ยินดีอภิวาทเป็นต้นแห่งปกตัตตภิกษุ  และมีพระพุทธานุญาตให้ทำสามีจิกรรมอย่างนั้นได้เฉพาะคู่  และให้เข้าอุโบสถปวารณาได้กับสงฆ์เป็นต้น  เช่นเดียวกับทรงห้ามและทรงอนุญาตแก่มานัตตจาริกภิกษุ.
           วัตรสำหรับปาริวาสิกภิกษุก็เช่นเดียวกับสำหรับมานัตตจาริกภิกษุแปลกกันแต่เพียงไม่ต้องบอกทุกวัน และมีภิกษุปกตัตตะแม้รูปเดียวเป็นเพื่อไปที่อื่นได้  ฯ ล ฯ.
         ภิกษุผู้ต้องอันตราบัติ  พึงขอให้สงฆ์สวดชักเข้าหาอาบัติเดิมแล้วขอปริวาสหรือมานัต  ตามเรื่องที่เป็นมา คือ :-
๑.
  ถ้าต้องอันตราบัติไม่ได้ปิดไว้ ในเวลากำลังประพฤติมานัต เพื่อ     ปฏิจฉันนาบัติ  หรือในเวลาประพฤติมานัต
      แล้วเป็นอัพภานารหะ  พึงขอปฏิกัสสนา เมื่อสงฆ์สวดปฏิกัสสนาแล้ว พึงขอมานัตเพื่อ  อันตราบัติ.
๒.
  ถ้าต้องอันตราบัติไม่ได้ปิดไว้ ในเวลากำลังอยู่ปริวาสหรือในเวลา   อยู่ปริวาสแล้วเป็นมานัตตารหะ  พึงขอปฏิ
      กัสสนา  เมื่อสงฆ์สวด  ปฏิกัสสนาแล้ว พึงอยู่ปริวาสตั้งต้นไปใหม่  เสร็จแล้วพึงขอมานัต  เพื่ออาบัติเดิมและ
      อันตราบัติประมวลกัน.
๓.
  ถ้าต้องอันตราบัติไม่ได้ปิดไว้  ในเวลาอยู่ปริวาสแล้ว ประพฤติ มานัตอยู่ หรือในเวลาประพฤติมานัตแล้วเป็น
      อัพภานารหะ พึง  ขอปฏิกัสสนา  เมื่อสงฆ์สวดปฏิกัสสนาแล้ว ไม่ต้องอยู่ปริวาสซ้ำ พึงขอมานัตเพื่ออันตรา
      บัติดุจในแบบที่ ๑.
๔.
  ถ้าต้องอันตราบัติแล้วปิดไว้ ในเวลากำลังอยู่ปริวาส หรือใน   เวลาอยู่ปริวาสแล้วเป็นมานัตตารหะหรือในเวลา
      กำลังประพฤติ   มานัต หรือในเวลาประพฤติมานัตแล้วเป็นอัพภานารหะ  พึงขอ ปฏิกัสสนา เมื่อสงฆ์สวดปฏิ
      กัสสนาแล้ว  พึงขอสโมธานปริวาส เพื่อประมวลอันตราบัติเข้ากับอาบัติเดิม.
            ภิกษุผู้ประพฤติวุฏฐานวิธีถูกต้องตามระเบียบแล้ว  อาปัตตา-ธิกรณ์ของเธอนั้นชื่อว่าระงับแล้วด้วยสมถะ ๒ คือ :-
๑.
  สัมมุขาวินัย.
๒.
  ปฏิญญาตกรณะ.
               สัมมุขาวินัยในอธิการนี้ครบองค์ ๔ คือ :-
๑.
  สงฺฆสมฺมุขตา.
๒.
  ธมฺมสมฺมุขตา.
๓. วินยสมฺมุขตา.
๔.
  ปุคฺคลสมฺมุขตา.
                วิธีระงับลหุกาบัติด้วยติณวัตถารกวินัย
วิธีนี้จะใช้ได้ต่อเมื่อมีเหตุปรากฏขึ้น ๒ ประการ คือ :-
๑.
  ภิกษุทั้งหลายมากด้วยกันเกิดทะเลาะวิวาทกัน  ต่างประพฤติ     อัชฌาจารไม่สมควรแก่สมณะเป็นอันมาก  ต่างกล่าวซัดกัน.
๒. ถ้าจะปรับให้กันและกันแสดงอาบัติ
  อธิกรณ์นั้นจะพึงรุนแรงขึ้น. เมื่อทำติณวัตถารกวิธีแล้ว ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้พ้นจากอาบัติเว้นแต่อาบัติและบุคคลรวม ๔ คือ :-      
๑.
  อาบัติที่เป็นโทษล่ำ.
๒.
  อาบัติเนื่องด้วยคฤหัสถ์.
๓. ผู้แสดงความเห็นแย้ง.
๔. ผู้ไม่ได้อยู่ในที่นั้น.
               อาปัตตาธิกรณ์ในเรื่องนี้ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ :-
๑.
  สัมมุขาวินัย.
๒. ติณวัตถารกะ.
             สัมมุขาวินัยในอธิากรนี้ครบองค์ ๔  คือ :-
๑.
  สงฺฆสมฺมุขตา.
๒.
  ธมฺมสมฺมุขตา.
๓.
  วินยสมฺมุขตา.
๔.
  ปุคฺคลสมฺมุขตา.
            ( พระมติของเสด็จ ฯ  ว่า  น่าจะขาด  " ปุคฺคลสมฺมุขตา " )
                               กัณฑ์ที่ ๓๑
                       กิจจาธิกรณ์และวิธีระงับ
                            เนื่องด้วยนิคหะ
                       กิจจาธิกรณ์  มี ๔ คือ :-
๑.
  อปโลกนกัมม์.
๒.
  ญัตติกัมม์.
๓.
  ญัตติทุติยกัมม์.
๔.
  ญัตติจตุตถกัมม์.
               การปกครองย่อมเป็นไปได้เพราะองค์ ๒ คือ :-
๑.
  นิคหะ  การข่ม.
๒.
  ปัคหะ  การยกย่อง.
                   บุคคลผู้ควรแก่นิคหะ  มี ๒ พวก  คือ :-
๑.
  ภิกษุ.
๒.
  คฤหัสถ์.
                   นิคหกรรมสำหรับทำแก่ภิกษุ  มี  ๖ คือ :-
๑.
  ตัชชนียกัมม์  กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงขู่ ( การตำหนิ ).
๒.
  นิยสกัมม์.  กรรมอันสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้ไร้ยศหรือว่าการถอดยศ.
๓. ปัพพาชนียกัมม์
  กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงไล่.
๔.
  ปฏิสารณียกัมม์  กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงให้กลับไป.
๕.
  อุกเขปนียกัมม์  กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงยกเสีย.
๖. ตัสสปาปิยสิกากัมม์ กรรมอันสงฆ์พึงทำ
  เพราะความที่ภิกษุนั้นเป็นผู้บาป
                       ( ๑ )  ตัชชนียกัมม์
            ถ้ามีภิกษุเป็นผู้ทำความทะเลาวิวาทก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์ด้วยตนเองหรือยุภิกษุอื่นให้ทำ  สงฆ์เห็นสมควรจะนิคหะ พึงทำกรรมชื่อนี้แก่เธอ.
                 วิธีทำตัชชนียกัมม์ที่สมบูรณ์ดังนี้  คือ :-
๑.
  พึงโจทภิกษุนั้นขึ้นก่อน.
๒.
  พึงให้เธอให้การ.
๓.
  พึงปรับอาบัติ.
๔.
  ภิกษุรูปหนึ่งผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศสงฆ์  บรรยายความนั้นและ  การที่สงฆ์ทำกรรมนั้นแก่เธอด้วยญัตติจตุตถกัมม์.
๕.
  การทำนั้นต้องด้วยลักษณะกรรมอันเป็นธรรม.
       ลักษณะกรรมอันเป็นธรรมนี้  มี ๔ ข้อ  คือ :-
๑.
  ทำต่อหน้าภิกษุนั้น ถามก่อนแล้วจึงทำ  ทำตามปฏิญญา.
๒.
  ทำเพราะต้องอาบัติ  และอาบัตินั้นเป็นเทสนาคามินี  ยังไม่ได้แสดง.
๓. โจทก่อนแล้วจึงทำ
  ให้จำเลยให้การก่อนแล้วจึงทำ  ปรับอาบัติ แล้วจึงทำ.
๔. ทำโดยธรรม อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันทำ.
            ภิกษุพร้อมด้วยองค์ ๓  สงฆ์จำนง พึงทำตัชชนียกัมม์แก่เธอได้  องค์ ๓  นั้นกล่าวไว้เป็น    หมวด  คือ :-
๑.
  เป็นผู้ทำการบาดหมาง เป็นผู้ทำความทะเลาะ  เป็นผู้ทำการวิวาท เป็นผู้ทำความอื้อฉาว เป็นผู้ทำอธิกรณ์ในสงฆ์  เป็นองค์อันหนึ่ง  เป็นพาลไม่ฉลาด  มีอาบัติมาก  มีมารยาทไม่สมควร  เป็นองค์  อันหนึ่ง  เป็นผู้คลุกคลีด้วยคฤหัสถ์  ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร  เป็นองค์อันหนึ่ง.
๒.
  เป็นผู้มีสีลวิบัติ  เป็นผู้มีอาจารวิบัติ  เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติ.
๓.
  กล่าวติเตียนพระพุทธ  กล่าวติเตียนพระธรรม  กล่าวติเตียน  พระสงฆ์.
           ( องค์ ๓ เหล่านี้ ไม่ต้องครบทั้งนั้น  เพียงองค์หนึ่งก็ยกขึ้นเป็นเหตุทำตัชชนียกัมม์ได้ ).
   องค์ที่เป็นใจความในหมวดที่ ๑  มี ๓  ( นอกนั้นพลความ )  คือ :-
๑.
  การก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์.
๒.
  ความเป็นผู้มีอาบัติมาก.
๓.
  การคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์  ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร.
              ภิกษุผู้ถูกลงตัชชนียกัมม์ต้องประพฤติวัตร  ดังนี้ :-
๑.
  ไม่พึงอุปสมบท  คือไม่พึงรับเป็นอุปัชฌายะในกรรมนั้น ไม่พึงให้ นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก  คือไม่พึงบวชสามเณร  ไม่พึง  รับสมมติเป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี แม้ได้รับสมมติไว้แล้วก็ไม่พึงสั่งสอน.
๒.
  สงฆ์ทำตัชชนียกัมม์เพราะอาบัติใด  ไม่พึงต้องอาบัตินั้น หรือ    อาบัติอื่นอันเช่นกัน หรืออาบัติอันเลวทรามกว่านั้น  ไม่พึงติกรรม นั้น ไม่พึงติภิกษุทั้งหลายผู้ทำกรรมนั้น.
๓.
  ไม่พึงห้ามอุโบสถ  ไม่พึงห้ามปวารณา แก่ปกตัตตภิกษุ  ไม่พึงทำ ความมีคำ  ไม่พึงเริ่มอนุวาทาธิกรณ์  ไม่พึงยังภิกษุอื่นให้ทำโอกาส  เพื่อโจทเธอ ไม่พึงโจทภิกษุอื่น  ไม่พึงให้ภิกษุอื่นให้การ  ไม่ พึงช่วยภิกษุทั้งหลายให้สู้กันในอธิกรณ์.
      ( สงฆ์ได้ทำกรรมนี้แก่ภิกษุ ๒ รูป  ชื่อปัณฑุกะ ๑  โลหิตกะ ๑  เป็นครั้งแรก ).
                  ลักษณะเป็นเหตุให้ระงับกรรมนั้น  คือ :-
            การประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัว หรือการประพฤติวัตรอย่างเคร่งครัด.
                             วิธีระงับกรรมนั้น ดังนี้ :-
           ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์  ทำผ้าอุตตราสงค์เฉวียงบ่า  ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่กว่า นั่งกระหย่งประณมมือกล่าวคำขอระงับกรรมนั้น ๓  คาบในลำดับนั้น  ภิกษุผู้ฉลาดสามารถ พึงประกาศสงฆ์บรรยายความนั้นและการที่สงฆ์งับกรรมนั้นด้วยญัตติจตุตถกัมม์.
                               ( ๒ )  นิยสกัมม์
            ถ้ามีภิกษุมีอาบัติมาก  หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร  เป็นผู้ควรถูกนิคหะ  สงฆ์พึงทำกรรมชื่อนี้แก่เธอปรับให้ถือนิสัยอีก  กรรมนี้สงฆ์ทำแก่เสยยสกภิกษุเป็นครั้งแรก.
            วิธีทำ  วัตรสำหรับประพฤติ ลักษณะแห่งการทำเป็นธรรมและลักษณะเป็นเหตุทำเป็นเหตุระงับกับวิธีระงับกรรมนั้น เหมือนตัชชีย-กัมม์  ต่างแต่เพียงกรรมวาจาอันบรรยายความไปตามเรื่อง.
                          ( ๓ )  ปัพพาชนียกัมม์
            ถ้ามีภิกษุประทุษร้ายสกุลและประพฤติลามกมีข่าวเซ็งแซ่สงฆ์เห็นสมควรจะนิคหะพึงทำกรรมชื่อนี้แก่เธอ.
            วิธีทำตลอดถึงวิธีระงับกรรมนี้  เหมือนตัชชนียกัมม์  ต่างสักว่ากรรมวาจา  และเพิ่มลักษณะเป็นเหตุทำเข้าอีก ๔  หมวด คือเล่นคะนอง ๑  อนาจาร ๑   ลบล้างพระบัญญัติ ๑   มิจฉาชีพ ๑  อันเป็นไปทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทั้ง ๒ ทางก็ดี กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุ ๒ รูปชื่ออัสสชิ ๑  ปุนัพพสุกะ ๑  เป็นครั้งแรก.
                         ( ๔ )  ปฏิสารณียกัมม์
            ถ้ามีภิกษุปากร้ายด่าว่าคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ-ศาสนา  เป็นทายกอุปัฏฐากสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔  เป็นทางจะยังคนผู้ยังไม่เลื่อมใสมิให้เลื่อมใส จะยังคนผู้เลื่อมใสอยู่แล้วให้เป็นอย่างอื่นไปเสียสงฆ์เห็นสมควรจะนิคหะ  พึงทำกรรมชื่อนี้แก่เธอ  บังคับให้ไปขมาเขา  วิธีทำเหมือนกรรมอื่น  ต่างสักว่ากรรมวาจา และถ้าเธอไม่อาจไปตามลำพัง  พึงสมมติภิกษุรูปหนึ่งเป็นอนุทูตไปด้วย.
                       วิธีสมมติภิกษุผู้เป็นอนุทูต  คือ :-
๑.
  พึงขอภิกษุนั้นให้รับ ( ว่าจะเป็น ) ก่อน.
๒.
  ประกาศสงฆ์  ( คือสมมติภิกษุนั้น ) ด้วยญัตติทุติยกัมม์.
ไปตามลำดับ
  พึงสมมติภิกษุรูปหนึ่งเป็นอนุทูตไปด้วย.
                          หน้าที่แห่งอนุทูตภิกษุ คือ :-
๑.
  เมื่อภิกษุนั้นขมาเขาตามลำพังไม่สำเร็จ ช่วยพูดเป็นส่วนตนหรือใน  นามของสงฆ์(พื่อให้เขายอม ).
๒.
  รับอาบัติอันเธอแสดงต่อหน้าเขา.
๓. ให้ขมา.
            ลักษณะเป็นเหตุทำกรรม ในบาลีกัมมขันธกะกล่าวไว้  ๒หมวด ๆ ละ ๕ คือ :-
๑.
  ขวนขวายเพื่อใช่ลาภ  ขวนขวายเพื่อมิใช่ประโยชน์  ขวนขวาย  เพื่ออยู่ไม่ได้แห่งพวกคฤหัสถ์ ด่าว่าเปรียบเปรยเขา  ยุยงเขาให้  แตกกัน.
๒. พูดติเตียนพระพุทธ
  พูดติเตียนพระธรรม  พูดติเตียนพระสงฆ์  แก่พวกคฤหัสถ์  พูดกด  พูดข่มเขา ยังความรับอันเป็นธรรมแก่เขา ให้คลายจากจริง.
            ลักษณะอื่น วัตร และวิธีระงับเหมือนกรรมอื่น กรรมนี้สงฆ์ได้ทำแก่สุธรรมภิกษุผู้ด่าจิตตคฤหบดีเป็นครั้งแรก.    
                          ( ๕ )  อุกเขปนียกัมม์
            ถ้ามีภิกษุต้องอาบัติแล้ว ไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ  เรียกว่าไม่เห็นอาบัติ หรือไม่ทำคืนอาบัติ  หรือมีทิฐิบาปไม่ยอมสละ เป็นทางเสียสีล-สามัญญตาหรือทิฏฐิสามัญญตา สงฆ์เห็นสมควรจะนิคหะพึงทำกรรมชื่อนี้ ๓ สถาน ในเพราะสถานใดสถานหนึ่ง  คือในเพราะไม่เห็นอาบัติหรือในเพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือในเพราะไม่สละทิฐิบาป แก่เธอตามเรื่องของเธอ ยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ์.
            วิธีทำและลักษณะแห่งกรรมที่เป็นธรรม  กับลักษณะเป็นเหตุทำ เหมือนตัชชนียกัมม์.
            ส่วนวัตรสำหรับกรรมนี้ส่วน ๑  เหมือนสำหรับกรรมอื่น อีกส่วน ๑  เพิ่มเข้าอีก จักแสดงส่วนที่เพิ่มเพื่อจำง่าย.
                       จัดเป็นหมวด ๆ  ละ ๕ คือ :-
๓.
  ไม่พึงยินดีการกราบไหว้  การยืนรับ อัญชลิกรรม  สามีจิกรรม  การนำอาสนะมาให้ การนำที่นอนมาให้  การนำน้ำมาล้างเท้าให้  การตั้งม้ารองเท้าให้  การตั้งกระเบื้องเช็ดเท้าให้  การรับบาตรจีวร
     การถูหลังให้เมื่ออาบน้ำ.  ท่านแยกเป็น ๒ หมวด  เกินอยู่ข้อหนึ่ง  ในหมวดหลัง.
๔.
  ไม่พึงกำจัดภิกษุปกตัตตะ  ด้วยสีลวิบัติ  ด้วยอาจารวิบัติ ด้วยทิฏฐิ-วิบัติ ด้วยอาชีววิบัติ ไม่พึงยังภิกษุให้แตกกัน.
๕.
  ไม่พึงทรงธงแห่งคฤหัสถ์  ไม่พึงทรงธงแห่งเดียรถีย์  สองนี้คือ ไม่พึงนุ่งห่มอย่างเขา   ไม่พึงคบพวกเดียรถีย์  พึงคบพวกภิกษุ  พึงศึกษาสิกขาแห่งภิกษุ.
๖.
  ไม่พึงอยู่ในอาวาสก็ดี  ในอนาวาสก็ดี ในอาวาสหรือในอนาวาสก็ดี  มีเครื่องมุงเดียวกันกับภิกษุปกตัตตะ เห็นภิกษุปกตัตตะแล้ว พึง  ลุกจากอาสนะ  ไม่พึงรุกรานคือไล่ภิกษุปกตัตตะจากข้างในก็ดี จากข้างนอกก็ดี  แห่งวิหาร.
            ลักษณะและวิธีระงับกรรมนั้นก็เหมือนกรรมอื่น ต่างสักว่ากรรม- วาจา.  กรรมนี้สงฆ์ได้ทำเพราะไม่เห็นและเพราะไม่ทำคืนอาบัติ  แก่ฉันนภิกษุเป็นครั้งแรก  ได้ทำเพราะไม่สละทิฐิบาปแก่อริฏฐภิกษุเป็นครั้งแรก.
             ในภิกษุผู้เป็นอาทิกัมมิกะเหล่านี้  ภิกษุอัสสชิและปุนัพพสุกะผู้ถูกทำปัพพาชนียกัมม์  และอริฏฐภิกษุ  ผู้ถูกทำอุกเขปนียกัมม์เพราะไม่สละทิฐิบาป  ไม่ประพฤติอ่อนน้อม  สึกเสีย กรรมนั้นจึงเป็นอันไม่ได้ระงับ  ส่วนภิกษุเหลือจากนั้นได้ประพฤติอ่อนน้อม  สงฆ์ได้ระงับกรรมนั้น.
                        ( ๖ )  ตัสสปาปิยสิกากัมม์
            ภิกษุผู้เป็นจำเลยในอนุวาทาธิกรณ์  ซึ่งควรแก่ตัสสปาปิยสิกา-กัมม์นั้น ประกอบด้วยองค์เหล่านี้ คือ :-
๑.
  ให้การกลับไปกลับมา  ปฏิเสธแล้วกลับปฏิญญา ๆ  แล้วกลับปฏิเสธ.
๒.
  พูดถลากไถล เพื่อกลบเกลื่อนข้อที่ถูกซัก.
๓. พูดมุสาซึ่งหน้า.
           หรือประกอบด้วยลักษณะเป็นเหตุให้ทำกรรม ๓ หมวด  เหมือนให้ตัชชนียกัมม์.
           วิธีทำ  ลักษณะกรรมอันเป็นธรรม  วัตรสำหรับประพฤติ วิธีระงับ  เหมือนตัชชนียกัมม์  ( ที่เกี่ยวด้วยกรรมวาจา พึงดัดแปลงกรรม-วาจาให้เข้าเรื่อง )  สงฆ์ทำกรรมนี้แก่อุปวาฬภิกษุเป็นครั้งแรก.
  คว่ำบาตรและหงายบาตร   ควรทำนิคหะ ( คว่ำบาตร )  แก่คฤหัสถ์ผู้ประกอบด้วยโทษ๘ ประการ คือ :-
๑.
 ขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภ  แห่งภิกษุทั้งหลาย.
๒.
  ขวนขวายเพื่อมิใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย
๓.
  ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
๔.
  ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย.
๕.
  ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน.
๖.
  กล่าวติเตียนพระพุทธ.
๗.
  กล่าวติเตียนพระธรรม.
๘.
  กล่าวติเตียนพระสงฆ์.
                    วิธีทำการคว่ำบาตร คือ :-
๑.
  ประชุมสงฆ์.
๒. ภิกษุรูปหนึ่งประกาศสงฆ์ด้วยญัตติทุติยกัมม์.
       
             ห้ามคบคฤหัสถ์เช่นนั้นด้วยการคบ ๓ คือ :-
๑.
  ไม่รับบิณฑบาตของเขา.
๒.
  ไม่รับนิมนต์ของเขา.
๓.
  ไม่รับไทยธรรมของเขา.
                         วิธีระงับการคว่ำบาตร คือ :-
           ผู้นั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์  ห่มผ้าเฉลียงบ่า  ไหว้เท้าภิกษุทั้งหลาย นั่งกระหย่งประณมมือ  กล่าวขอการหงายบาตร ภิกษุรูปหนึ่งพึงประกาศสงฆ์เพื่อหงายบาตรให้แก่เขาด้วยญัตติทุติยกัมม์.
            คฤหัสถ์ที่สงฆ์หงายบาตรแล้ว  ภิกษุคบได้ สงฆ์ทำกรรมนี้แก่เจ้าวัฑฒลิจฉวีเป็นครั้งแรก.
                 สงฆ์จะทำนิคหะพึงตั้งอยู่ในองคคุณ ๓ คุณ :-
๑.
  มตฺตญฺญุตา  ความเป็นผู้รู้จักประมาณ.
๒.
  กาลญฺญุตา  ความเป็นผู้รู้จักกาล.
๓.
  ปุคฺคลญฺญุตา  ความเป็นผู้รู้จักบุคคล.
                               กัณฑ์ที่ ๓๒
                      สังฆเภทและสังฆสามัคคี
         ภิกษุผู้อาจทำลายสงฆ์ประกอบด้วยองค์  คือ :-
๑.
  เป็นปกตัตตะ.
๒.
  เป็นสมานสังวาส.
๓.
  อยู่ในสีมาร่วมกัน.
                      ทางที่สงฆ์จะแตกกัน มีอยู่ ๒ คือ :-
๑.
  มีความเห็นปรารภพระธรรมวินัยแผกกัน  จนเกิดเป็นวิวาทาธิกรณ์ ขึ้น
๒.
  ความประพฤติไม่สม่ำเสมอกัน ยิ่งหย่อนกว่ากัน  เกิดรังเกียจกัน  ขึ้น
                     สงฆ์จะแตกกันด้วยอาการ ๕ คือ :-
๑.
  ด้วยกรรม  ( ทำสังฆกรรม ).
๒.
  ด้วยอุทเทส  ( สวดปาฏิโมกข์ ).
๓.
  กล่าวโวหาร  ( ตั้งญัตติ ).
๔.
  ด้วยอนุสาวนา ( ประกาศด้วยกรรมวาจา ).
๕.
  ด้วยให้จับสลาก  ( ลงคะแนนชี้ขาด ).
           เรื่องสงฆ์แตกกันอันควรนำมาเล่าในที่นี้ ๕  คราว  คือ :-
๑.
  พระเทวทัตต์กับพวกได้แตกจากคณะพระศาสดา.
๒.
  สงฆ์วัดโฆสิตาราม  นครโกสัมพีแตกกัน.
๓.
  สงฆ์วัดอโศการาม  กรุงปาฏลีบุตร ไม่ทำอุโบสถร่วมกัน.
๔.
  พระวัดอภัยคิรีวิหารกับพระวัดมหาวิหารแตกกัน.
          สงฆ์แตกกันแล้วเกิดต่างเป็นนิกายใหญ่ ๒ คือ :-
๑.
  อุตตรนิกาย พวกฝ่ายเหนือ.
๒.
  ทักษิณนิกาย พวกฝ่ายใต้.
       ทักษิณนิกายแยกออกไปอีกกำหนดตามสัญชาติ คือ :-
๑.
  สยามนิกาย.
๒.
  มรัมนิกาย.
๓.
  รามัญนิกาย.
      ( ส่วนลังกาหานิกายโดยสัญชาติมิได้แล้ว  ที่ตั้งขึ้นใหม่ออกมาจากนิกายอื่นทั้งนั้น ).
                   สยามนิกายแยกเป็น ๒ คือ :-
๑.
  มหานิกาย.
๒.
  ธรรมยุติกนิกาย.
                    มรัมนิกายแยกออกเป็น ๒ คือ :-
๑.
  จุลคัณฐี.
๒.
  มหาคัณฐี.
               ในบัดนี้พระในลังกาแยกเป็น ๓ นิกาย คือ :-
๑.
  อุปาลิวงศ์.
๒.
  มรัมววศ์.
๓.
  รามัญวงศ์.
                 ฐานแห่งนานาสังวาส  มี ๒ คือ :-
๑.
  ทำตนให้เป็นนานาสังวาสเอง.
๒. สงฆ์พร้อมเพรียงกันยกออกเสียจากสังวาส.
                  ฐานแห่งสมานสังวาส มี ๒ คือ :-
๑.
  ทำตนให้เป็นสมานสังวาสเอง.
๒. สงฆ์ระงับอุกเขปนียกัมม์นั้นเสีย รับเข้าสังวาสตามเดิม.
               ทางที่สงฆ์จะสามัคคีกันเข้าได้ มีอยู่ ๒ คือ :-
๑.
  วิวาทธิกรณ์ได้ระงับด้วยตกลงกันเอง  หรือยอมรับวินิจฉัยของสงฆ์
      อีกฝ่ายหนึ่ง  หรือของภิกษุบางรูป.
๒.
  อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยติณวัตถารกวินัย.
                    สังฆสามัคคีควรทำเป็นกิจจลักษณะ คือ :-
๑.
  ภิกษุทั้งมวลทั้ง ๒ ฝ่ายพึงประชุมกัน.
๒.
  ไม่พึงนำฉันทะของภิกษุใด ๆ.
๓.
  ภิกษุรูปหนึ่งหรือหลายรูป  พึงสวดประกาศความสามัคคีแห่งสงฆ์ ด้วยกรรมวาจา ตามระเบียบแห่งความสามัคคีในลำดับแห่งการ  ระงับวิวาทาธิกรณ์หรือแห่งติณวัตถารกวินัย.
๔.
  พึงทำสามัคคีอุโบสถ  สวดปาฏิโมกข์.
                                กัณฑ์ที่ ๓๓
                                ปกิณณกะ

                          ๑.  การลาสิกขา
       บุคคลผู้ควรรับปฏิญญาของภิกษุผู้ลาสิกขา มี ๒ คือ :-
๑.
  ภิกษุ.
๒. คนอื่นจากภิกษุ.
                วัตถุคือเขตที่ควรอ้างถึงในคำปฏิญญา คือ :-
๑.
  ลาพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  สิกขา  วินัย ปาฏิโมกข์  อุทเทส  อุปัชฌายะ  อาจารย์  สัทธิวิหาริก  อันเตวาสิก  สมานุปัชฌายกะ  สมานาจริยกะ  สพรหมจารี.  เปล่งคำลา ๔ วัตถุนี้อย่างใดอย่าง   หนึ่งสำเร็จความเข้าใจว่าลาความเป็นภิกษุ  วัตถุนอกนี้ไม่ชัดพอ  ได้คำ   อื่นเข้าประกอบด้วยเป็นดี.
๒.
  ปริญญาตนเป็นคฤหัสถ์  เป็นอุบาสก  เป็นอารามิก  เป็นสามเณร  เป็นเดียรถีย์  เป็นสาวกเดียรถีย์.
๓.
  ปฏิเสธความเป็นสมณะ  ความเป็นสักยปุตติยะ.
๔.
  แสดงความไม่ต้องการหรือไม่เกี่ยวข้องด้วยวัตถุเป็นเขตลาอย่างใด  อย่างหนึ่ง
               การปฏิญญานั้น ต้องทำเป็นกิจลักษณะดังนี้ :-
๑.
  ทำด้วยตั้งใจเพื่อลาสิกขาจริง ๆ  ( ว่าเล่น ท่องคำลาหรือกล่าวโดย  อาการแสดงวินัยกถา  ไม่นับว่าลา ).
๒.
  ปฏิญญาด้วยคำเด็ดขาด  ไม่ใช่รำพึง  ไม่ใช่ปริกัป ไม่ใช่อ้าง  ความเป็นมาแล้วหรือจักเป็นข้างหน้า.
๓.
  ลั่นวาจาปฏิญญาด้วยตนเอง.
๔.
  ผู้ปฏิญญาเป็นคนปกติ  ไม่ใช้บ้าง ไม่ใช่ผู้เสียสติถึงเพ้อ  ไม่ใช่ผู้กระสับ  กระส่ายเพราะทุกขเวทนาถึงไม่รู้ตัว ผู้รับปฏิญญาก็เป็นคนปกติ เหมือนกัน  ถ้าเป็นคน ๓  ประเภทนั้นใช้ไม่ได้.
๕.
  ผู้รับปฏิญญาเข้าใจคำนั้นในทันที.
     ( ปฏิญญาพร้อมด้วยจิต กาลประโยค  บุคคล  และความเข้าใจอย่างนี้  เป็นกิจลักษณะ ).
                   คำปฏิญญาที่เด็ดขาดและไม่เด็ดขาดดังนี้ :-
๑. " สิกฺข
  ปจฺจกฺขามิ "  ข้าพเจ้าลาสิกขา หรือว่า  " คิหีติ  ม  ธาเรถ "  ท่านทั้งหลายจงทรงข้าพเจ้าไว้เป็นคฤหัสถ์  ( นี้คำเด็ดขาด )
๒.
  " ยนฺนูนาห สิกฺข  ปจฺจกฺเขยฺย "  ไฉนหนอเราพึงลาสิกขาเสียเถิด หรือว่า  " ยนฺนูนาห คิหี อสฺส "   ไฉนหนอเราพึงเป็นคฤหัสถ์เสียเถิด  ( รำพึง ).
๓.
  " สเจ  สิกฺข  ปจฺจกฺเขยฺย  อนภิรติ เม  ปฏิปสฺสมฺเภยฺย "  ถ้าเราลาสิกขาเสีย ความไม่ยินดีของเราจักสงบ หรือว่า  " ยทิ  คิหี อสฺส สุข ชีเวยฺย "  ถ้าเราพึงเป็นคฤหัสถ์  เราพึงเป็นอยู่สบาย ( ปริกัป ).
๔.
  " สิกฺข  ปจฺจกฺขาสึ "  ข้าพเจ้าลาสิกขาเสียแล้ว  หรือว่า  " คิหี  อโหสึ "  ข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์เสียแล้ว ( อ้างความเป็นมาแล้ว ). " สิกฺข ปจฺจกฺขิสฺส "  ข้าพเจ้าจักลาสิกขา  หรือว่า  " คิหี ภวิสฺส "
     ข้าพเจ้าจักเป็นคฤหัสถ์  ( อ้างความจักเป็นข้างหน้า ).
                   ( ข้อ  ๒-๔  ไม่ใช่คำเด็ดขาด ).
                              ๒. นาสนา
             บุคคลที่ทรงอนุญาตให้นาสนา  มี ๓ คือ :-
๑.
  ภิกษุต้องอันเติมวัตถุแล้ว  ยังปฏิญญาคนเป็นภิกษุ.
๒.
  บุคคลผู้อุปสมบทไม่ขึ้น  ได้รับอุปสมบทแต่สงฆ์.
๓.
  สามเณร.
       ทรงอนุญาตให้นาสนาสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐ คือ :-
๑.
  เป็นผู้มักผลาญชีวิต.
๒.
  เป็นผู้มักขโมย.
๓.
  ประพฤติไม่เป็นพรหมจารี ( เสพเมถุน ).
๔.
  เป็นผู้มักพูดปด.
๕.
  เป็นผู้มักดื่มน้ำเมา.
๖.
  พูดติเตียนพระพุทธ.
๗.
  พูดติเตียนพระธรรม.
๘.
  พูดติเตียนพระสงฆ์.
๙.
  เป็นมิจฉาทิกฐิ.
๑๐.
  เป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณี.
                               นาสนา มี ๓ คือ :-
๑. ลิงคนาสนา ให้ฉิบหายจากเพศ.
๒. สัมโภคนาสนา ให้ฉิบหายจากการกินร่วม.
๓.
  สังวาสนาสนา ให้ฉิบหายจากสังวาส.
                                ๓.  ทัณฑกรรม
           ทรงอนุญาตให้ลงทัณฑกรรมสามเณรผู้ประกอบด้วยองค์อันเป็นโทษ    คือ :-
๑.
  ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภ แห่งภิกษุทั้งหลาย
๒.
  ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย.
๓. ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย.
๔. ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย.
๕. ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน.

           ( พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า  สามเณรล่วงสิกขาบท ๕  เบื้องปลาย  พึงลงทัณฑกรรม  ความไม่เอื้อเฟื้อในกิจวัตรอันจะพึงศึกษาเป็นฐานแห่งทัณฑกรรมได้เหมือนกัน ).
               การลงทัณฑกรรมในบาลีและอรรถกถา  คือ :-
๑. การกัก
  คือห้ามไม่ให้เข้าหรือห้ามไม่ให้ออก  ( บาลี ).
๒.
  การใช้ให้ตักน้ำ ขนฟืน ขนทรายเป็นต้น ( อรรถกถา ).
                ห้ามการลงทัณฑ์กรรมอย่างดุร้ายมีอาทิ  คือ :-
๑.
  ให้นอนบนแผ่นหินอันร้อน.
๒.
  ทูนของหนักเช่นหินหรืออิฐบนศีรษะ.
๓.
  ให้แช่น้ำ.
        บาลีมิได้แสดงไว้ชัดว่า  การลงทัณฑกรรมสามเณรเป็นหน้าที่ของใคร  ฉะนั้น  ท่านจึงแนะนำไว้ดังนี้  คือ :-
         ๑.   สามเณรทำองค์    ดังกล่าวในบาลี  มีความผิดร้ายแรงอยู่  น่าลงทัณฑกรรมเป็นการสงฆ์.
         ๒.  สามเณรล่วงสิกขาบท   ในเบื้องปลาย  หรือทำเสียกิจวัตร  ผู้    ปกครองทำได้  โดยที่สุดเจ้าตัวเองขอให้
               ปรับเพื่อระงับวิปฏิสาร เพราะการทำผิดก็ได้.
            (ตามอรรถกถานัย  จะลงทัณฑกรรมแก่สัทธิวิหาริก  และอันเตวาสิกเหมือนทำแก่สามเณรก็ควร).
๔.  ประณาม ได้แก่การตัดผู้ประพฤติมิชอบ  ไม่คบด้วย.
                              ผู้ที่จะถูกประณามมี    พวก  คือ :-
๑.
  สหธรรมิก.
๒.
  คฤหัสถ์.
                              ผู้ทำการประณาม  มี  ๒ พวก  คือ :-
๑.
  สงฆ์  (เช่นทำอุกเขปนียกัมม์  คว่ำบาตร  พรหมทัณฑ์).
๒.
  บุคคล  (เช่นอุปัชฌาย์ประณามสัทธิวิหาริก  และอันเตวาสิก)