วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิชา เรียงความแก้กระทู้ ธรรมศึกษาชั้นเอก

วิชา เรียงความแก้กระทู้
ธรรมศึกษาชั้นเอก
คำอธิบาย
วิธีเรียงความแก้กระทู้ธรรมแนวใหม่

ความเบื้องต้น
      วิธีเรียงความแก้กระทู้ธรรม จัดเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตรนักธรรมตรี โท เอก นักเรียนผู้สอบกลัวตกวิชานี้มากกว่าวิชาอื่นๆ  เพราะการแต่งกระทู้ธรรม  หากนักเรียนยังจับหลักฐานไม่ได้  จะทำให้มึนงงสับสนในเมื่อแม่บทหรือกระทู้ที่ท่านตั้งไว้  ยิ่งเป็นชั้นเอกก็ยิ่งทวีความยากขึ้นตามส่วน ฉะนั้น การแต่งกระทู้ธรรมจึงจัดว่าสำคัญยิ่งกว่า ๓ วิชานั้น  เพราะเท่ากับว่าได้ฝึกหัดเทศนาวิธีไปด้วยนั่นเอง เมื่อผู้ใคร่ต่อการศึกษาพยายามเรียนหลักการแต่ง ทำความเข้าใจวิธีการแต่งดีแล้วจะกลับเห็นว่าการแต่งกระทู้ก็คือการแสดงภูมิความรู้ในวิชาทั้ง ๓ นั้นว่า นักเรียนมีความเข้าใจแจ่มแจ้งดีเพียงไร  ถ้าเข้าใจแล้ว  ก็สามารถที่จะหยิบยกข้อธรรมมาอธิบายได้โดยไม่ยากนักส่วนหลักการและแนวในการแต่งนั้น  จะได้ชี้ให้เข้าใจในลำดับต่อไปดังจะได้ชี้แจงหลักและแนวการแต่ง  ซึ่งทางสนามหลวงท่านได้วางไว้พอเป็นปทัฏฐานนักเรียนพึงทราบต่อไปนี้ ฯ

แนวการแต่ง
      การแต่งกระทู้ธรรมนั้น  พึงพยายามเรียบเรียงถ้อยคำให้สละสลวย  พูดสั้น ๆ แต่ให้ได้ใจความมาก ใช้ถ้อยคำสำนวนที่สุภาพอ่อนโยนให้เหมาะแก่กาลเทศะ บรรยายข้อความให้ติดต่อกลมกลืนกัน  เมื่อจะอ้างหรือยกอีกกระทู้ประกอบประหนึ่งช่างภาพระบายสี  เช่นเหลืองกับเขียวเป็นต้น ระบายตอนที่เหลืองจะเปลี่ยนเป็นเขียวให้กลมกลืนกันฉะนั้น  การอ้างกระทู้ประกอบก็เช่นเดียวกัน  คือต้องอธิบายข้อความให้เชื่อมสนิทสนม จู่ ๆ จะอ้างขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ได้ เพราะจะผิดหลักแห่งการแต่งไปและจะกลายเป็นคนละรูปเรื่อง อ่านแล้วไม่ได้ใจความ ขาดความสละสลวยด้วยประการทั้งปวง ไม่สมภูมิที่เป็นนักธรรมเอกเลย พึงพยายามแต่งให้เหมาะสมกับความหมายของกระทู้  ซึ่งจะได้ชี้แจงเป็นลำดับไป ฯ

ความหมายของกระทู้
ความหมายของคำว่า เรียงความแก้กระทู้ธรรม  ซึ่งท่านเรียกรวมเป็นคำเดียวกัน เมื่อนักเรียนพิจารณาให้รอบคอบแล้ว จะเห็นว่าแยกออกเป็นคำ ๆ ได้ ๓ คำ คือเรียงความ แก้กระทู้ธรรม จะได้ชี้แจงให้เห็นความหมายของคำทั้ง ๓ นั้น ดังต่อไปนี้ คือ
คำว่า เรียงความ  ได้แก่ การเก็บถ้อยคำหรือข้อความต่าง ๆ มาเรียบเรียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยถูกต้องตามหลักไวยากรณ์  และภาษาศาสตร์ อ่านและฟังได้ความชัดเจนแจ่มแจ้ง สมแก่รูปเรื่องของธรรมนั้น ๆ ประหนึ่งนายมาลาการผู้ฉลาด มีความเชี่ยวชาญนำดอกไม้ซึ่งมีสีสัณฐานแตกต่างกัน มาร้อยกรองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยในภาชนะอันเดียวกันฉะนั้น คือเก็บข้อความในที่ต่าง ๆ เช่นใน ธรรม พุทธ วินัย (โดยมากเป็นธรรม) แล้วแต่หัวข้อธรรมนั้นจะเพ่งถึงอะไร  พึงบรรยายไปในแนวนั้นตามหลักโวยากรณ์  คือเรียบเรียงถ้อยคำสำนวนให้สละสลวยสมแก่เหตุผล สมแก่บริษัท ประชุมชนและกาลเทศะ  ให้มีความหมายตรงกับจุดประสงค์ของแม่บทหรือกระทู้ที่ตั้งไว้ ดังนี้เรียกว่า  เรียงความ
คำว่า  แก้ ได้แก่การทำให้คลายหรือขยายออก คือกิริยาที่คลายหรือขยายสิ่งที่มัดไว้ออกไป ก็เรียกกันว่า แก้ แม่บทหรือกระทู้ที่ตั้งไว้ เป็นเพียงหัวข้อธรรมอันหนึ่ง ซึ่งมีความหมายที่จะพึงขยายความออกไปอีกได้มากมาย นักเรียนผู้มีความสามารถ จึงควรอธิบายขยายความของบทธรรมหรือภาษิตที่ท่านตั้งไว้นั้น ให้กว้างขวาง  ได้ความไพเราะถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของกระทู้ พูดง่าย ๆ ก็คือขยายความประสงค์ของกระทู้หรือถ้อยคำที่ท่าน กล่าวไว้โดยย่อ  ให้พิสดาร เรียกว่า  แก้
คำว่า  กระทู้ธรรม  ได้แก่ธรรมที่เป็นแม่บท หรือบทธรรมย่อ ๆ ที่ท่านตั้งไว้เป็นหลัก  แม่บทหรือกระทู้ที่ย่อ ๆ แต่มี ใจความที่จะพึงอธิบายขยายออกไปอีกได้มาก เรียกว่า  กระทู้ธรรม
เมื่อนักเรียนทราบความหมายของคำว่า  เรียงความแก้กระทู้ธรรม  โดยสังเขปดังนี้แล้ว  พึงวางโครงเรื่องที่จะยกขึ้นอธิบายต่อไป  แต่การอธิบายจำต้องมีหลักเกณฑ์ปฏิบัติในการแต่งอีก  ซึ่งเรียกว่าองค์ประกอบการเรียงความมี  ๓  ประการ  คือ
อุเทศ  ได้แก่ บทตั้งหรือแม่บท  ซึ่งตรงกับคำว่า  กระทู้
.นิเทศ  ได้แก่การขยายความอุเทศนั้นให้กว้างขวางออกไปตามแนวของกระทู้นั้นๆซึ่งตรงกับคำว่า แก้
. ปฏินิเทศ  ได้แก่  การกล่าวทบทวนข้อความเบื้องต้น คือย่อเอาความในนิเทศมากล่าวสั้น ๆ  เพื่อให้เข้าใจและจำง่าย  ซึ่งตรงกับคำว่า  สรุปความ

โวหาร ๔ 
นักเรียนนอกจากจะทราบองค์ประกอบเรียงความ  ๓ ประการ ดังกล่าวเบื้องต้นแล้ว จะต้องมีความเข้าใจในหลักของการขยายความอีก  ท่านเรียกว่า โวหาร  ซึ่งจักว่าเป็นความจำเป็นที่ผู้แต่งผู้เยียนจะต้องดำเนินในโวหาร ๔ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง  เพราะตามธรรมดาการแต่งการเขียนหนังสือ สำนวนโวหารย่อมแตกต่างกันตามความคิดเห็น  แต่เพื่อให้เหมาะสมกับเรื่องที่กล่าวถึง และตรงกับความประสงค์ของผู้แต่งในอันจะโน้มน้าวใจผู้อ่านผู้ฟังให้มีความเห็นความเข้าใจ  ตามกระบวนความที่ตนแต่งที่ตนเขียนไปในแนวไหนก็ตาม  ก็คงอยู่ในลักษณะแห่งโวหาร  ๔ นี้ คือ
พรรณนาโวหาร  ได้แก่ การพรรณนาความ คือเล่าเรื่องที่ได้เห็นมาแล้วหรือคิดประพันธ์ขึ้น ด้วยมุ่งความไพเราะ หรือความบันเทิง โดยเข้าใจว่า อาจเป็นไปได้เช่นนั้น เช่น การเขียนนวนิยาย หรือการเล่าความจริงจากหลักฐานที่ได้ฟังมา เช่นการเขียนตำนาน เป็นต้น  เรียกว่า  พรรณนาโวหาร
บรรยายโวหาร  ได้แก่  การอธิบายข้อความที่ย่อซึ่งยังเคลือบคลุมอยู่ให้เกิดความกระจ่าง เพื่อให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย  การแต่งในทำนองนี้มุ่งไปในทางไขปัญหาอันลึกซึ้งสุขุมคัมภีรภาพ  ดังเช่นปัญหาว่า  พระพุทธศาสนาคืออะไร ศีลธรรมคืออะไร สติคืออะไร ? สัมปชัญญะคืออะไร ? ดังนี้เป็นต้น  แต่ละอย่าง ๆ ต้องอธิบายขยายความออกไปให้ผู้ฟังเห็นเงื่อนงำคำถามและข้อธรรมนั้น ๆ โดยแจ่มแจ้ง  เรียกว่า  บรรยายโวหาร
เทศนาโวหาร  ได้แก่  การแต่งทำนองการสอน  คือชี้แงหลักธรรมนั้น ๆ ให้ผู้อ่านผู้ฟังยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ เช่น เทศนา หรือกฎหมายเป็นต้น  เพื่ออบรมนิสัยให้ประณีตงดงามขึ้น  โดยได้ฟังและตรึกตรองพิจารณาเห็นคุณและโทษของสิ่งนั้น ๆ การแต่งทำนองนี้มุ่งให้ผู้อ่านผู้ฟังเกิดฉันทะ  อุตสาหะ  อันจะนำมาปฏิบัติตาม เรียกว่า  เทศนาโวหาร
สาธกโวหาร  ได้แก่ การบรรยายข้อเปรียบเทียบคือนำข้ออุปมาอุปไมยมาเทียบเคียง  เพื่อให้ข้อความที่อธิบายนั้นแจ่มแจ้งดีขึ้น  อันได้แก่การยกข้อความอื่นมาเปรียบเทียบกับข้อความที่กล่าวมทาถึงนั้น  ชี้แจงให้ชักเจน แสดงข้อความที่เปรียบเทียบนั้นให้เห็นเป็นความจริงยิ่งขึ้นซึ่งมีกิริยาการคล้ายคลึงกัน  ดังตัวอย่างว่า  คนที่ขาดสติย่อมเป็นเสมือนเรือที่ขาดหางเสือเครื่องคัดวาดฉะนั้น  โดยอธิบายว่า ธรรมดาคนเราทุกๆ คนจะทำจะพูด จะคิดอะไร  ต้องมีสติระลึกไว้ก่อนแล้วจึงทำ  จึงพูด  จึงคิด  เมื่อระลึกไว้ก่อนแล้ว  สิ่งที่ทำ  คำที่พูด  และเรื่องที่คิดนั้นก็ไม่ผิดพลาด  ย่อมได้รับผลสมประสงค์  เหมือนเรือที่มีหางเสือเครื่องคัดวาดให้หัวเรือแล่นตรงไปสู่จุดหมายปลายทางฉะนั้น  หากบุคคลผู้จะทำ  จะพูด  จะคิด  ขาดสติ  แล้วไซร้  การที่ทำ  คำที่พูด  และเรื่องที่คิด ก็จะผิดพลาด ไม่ได้ผลสมประสงค์เหมือนเรือที่ขาดหางเสือ  แล่นเปะปะ ไม่ตรงไปถึงจุดหมายหลายทาง และมีแต่จะกระทบกระทั่งสิ่งต่าง ๆ  ซึ่งจะเป็นอันตราย ฉะนั้น  หรือจะยกเรื่องอื่น ๆ เช่นนิทานชาดกเป็นต้น มาเปรียบเทียบให้เห็นเป็นตัวอย่าง ดังเรื่องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา  เพื่อแสวงหาพระสัมมาสัมโพธิญาณอันเป็นตัวอย่างแห่งการบำเพ็ญความเพียรเป็นต้น  เรียกว่า  สาธกโวหาร
การแต่งกระทู้ธรรมทุกชั้น  ท่านกำหนดให้แต่งด้วยเทศนาโวหาร  เทศนาโวหารนั้นประกอบด้วยลักษณะ  ๔  ประการ  คือ
ชี้แจงเหตุผลให้เห็นตามความเป็นจริง  แสดงไปตามลำดับข้อความให้เหมาะแก่กาลเทศะ  แก่บุคคลและเรื่องราว  ไม่ให้ลักลั่นกัน
.  โน้มน้าวให้ผู้อ่านผู้ฟังเกิดความเชื่อถือในข้อความตามที่ตนกล่าวนั่น
ให้ผู้อ่านผู้ฟังเกิดฉันทะอุตสาหะที่จะปฏิบัติตาม เช่นตั้งในละชั่วประพฤติดีและให้มีอุตสาหะที่จะทำดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ให้ผู้อ่านผู้ฟังเกิดความกล้าหาญร่าเริงในการทำดีที่ได้ทำอยู่แล้วนั้น
ดังนั้น  การแต่งหรือเรียงความทั่ว ๆ ไปจะใช้โวหารอะไรเป็นหลักก็ตามจำต้องมีโวหารอื่นแทรกเข้ามาอีกตามควร  แม้การเรียงความแก้กระทู้ธรรมก็เช่นเดียวกันใช้เทศนาโวหารเป็นหลัก  และต้องแทรกโวหารอีก ๓ นั้นประกอบด้วย  เพื่อให้ข้อความพิสดารและเด่นชัดขึ้น  การแต่งในทำนองนี้ต้องอธิบายลักษณะของธรรมให้แจ่มแจ้งซึ่งเรียกว่า บรรยายโวหารก่อน  ต่อจากนั้นจึงหาเหตุผลอื่นมาประกอบต่อไป เพื่อโน้มน้าวใจผู้ด่อนผู้ฟังให้เกิดฉันทะอุตสาหะขึ้นในตน  ตอนนี้เป็นหน้าที่ของเทศนาโวหาร  หากเห็นว่าข้อความที่กล่าวนั้นยังเคลือบคลุมหรือไม่มีหลักฐานเพียงพอ  จึงนำเอาข้อเปรียบเทียบมาแสดงอีก  เพื่อให้ความที่กล่าวมานั้นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น  ตอนนี้ เรียกสาธกโวหาร  รวมความว่าการแต่งการเขียนจะต้องอาศัยโวหาร  ๔  เสมอไป

วิธีเรียงความ

      เมื่อนักเรียนเห็นบทธรรมหรือกระทู้ที่ท่านตั้งไว้  พึงตีความหมายของกระทู้ ให้ถูกต้องก่อน แล้วจึงวางโครงเรื่องที่จะอธิบายต่อไป  ด้วยการพิจารณาว่ากระทู้นี้กล่าวถึงอะไร  เกี่ยวกับธรรมหมวดไหน  และจะอธิบายอย่างไรจึงจะให้ผู้อ่านผู้ฟังเกิดศรัทธาปสาทะได้  ดังนี้เป็นต้น  จะอธิบายควบกันไปหรือแยกอธิบายเป็นตอน ๆ ก็ได้  ให้รู้จักส่วนที่เป็นเหตุและเป็นผลว่ามีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร  พึงอธิบายให้ประสานกัน  เมื่อจะยกภาษิตประกอบอีก  ๓  ภาษิต  พึงอธิบายท้าวความให้เชื่อมกันหรือในที่อื่น ๆ อย่างน้อย  ๓  สุภาษิต  ตามกฎเกณฑ์ของสนามหลวงซึ่งได้ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันแล้วนั้น .

 (ตัวอย่าง)เรียงความแก้กระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นเอก
สีลเมว  อิธ  อคฺคํ           ปญฺญวา  ปน  อุตตโม
มนุสฺเสสุ  จ  เทเวสุ         สีลปญฺญญาณโต  ชยํ
ศีลเท่านั้นเป็นเลิศในโลก  ส่วนผู้ที่มีปัญญาเป็นผู้สูงสุด
ความชนะในหมู่มนุษย์และเทวดาย่อมมีเพราะศีลและปัญญาฯ
บัดนี้  จักได้อธิบายความแห่งกระทู้ธรรมภาษิต  ที่อัญเชิญมาตั้งเป็นอุเทสคาถาข้างต้นนี้พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นลำดับไป
กระทู้ธรรมคาถานี้  แสดงถึงความชนะเป็นที่ยอมรับเป็นที่ยินดีในหมู่มนุษย์และเทวดาว่า  ต้องเป็นความชนะที่ได้มาเพราะศีลและปัญญา  ฟังแล้วออกจะเป็นเรื่องที่แปลกหูแปลกใจของผู้ที่ห่างจากพระพุทธศาสนา  ไม่เคยสนใจในการศึกษาและปฏิบัติธรรม  เพราะความชนะในทางคดีโลก  ส่วนใหญ่มุ่งแต่ความชนะผู้อื่นเป็นที่ตั้ง  เรื่องการชนะตนเองไม่ค่อยคำนึงถึง  เมื่อมุ่งแต่จะเอาชนะผู้อื่น  ก็ต้องเตรียมพร้อมเรื่องการต่อสู้ทุกๆด้าน  ทั้งด้านกำลัง  ด้านชั้นเชิง  ด้านเชาว์ไวไหวพริบ เป็นต้น เพื่อให้เหนือกว่า  ยิ่งกว่าคู่ต่อสู้  ในการบางครั้งมุ่งหวังเพื่อผลคือ ความชนะแก่ตนเองและแก่หมู่คณะของตนจนเกินไป  ถึงกับพริกผันปัญญาความพริบไหวที่ถูกต้องยุติธรรมเป็นทุปปัญญาไป  ก็จำต้องทำอย่างนี้ก็มี  ทุปปัญญานั้นได้แก่  ปัญญาที่เจือด้วยเล่ห์เหลี่ยม  กลโกง  เอารัดเอาเปรียบ  ไม่สุจริตมีประการต่างๆ ความชนะที่ได้มาด้วยวิธีการเช่นนี้  แม้จะยินยอมกันได้  ก็เป็นแต่เพียงเพื่อยุติเท่านั้น  แต่หาหยุดสุดสิ้นยินยอมที่แท้จริงไม่  ยังจะต้องมีการต่อสู้ขับเคี่ยวกันต่อไป  ไม่มีที่สิ้นสุด  ฝ่ายที่พ่ายแพ้ย่อมไม่พอใจ  เป็นทุกข์เป็นโศก  มีความเคืองแค้น  หมายมั่นจองเวรกันต่อไปนานเท่านาน  ฝ่ายที่ชนะเป็นฝ่ายก่อเวร  ฝ่ายแพ้เป็นฝ่ายจองเวร  ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเวรทั้ง ๒ ฝ่าย  ขึ้นชื่อว่าผู้มีเวรแล้ว  ย่อมจะมีความสุขที่แท้จริงไม่ได้  และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ความไม่เป็นที่ยอมรับ  ไม่เป็นที่ปราบปลื้มอนุโมทนาสาธุการในหมู่มนุษย์และเทวดาโดยทั่วหน้า  ดังที่กล่าวถึงตามกระทู้ข้างต้นนี้
ความมุ่งหมายของกระทู้นี้  เป็นความมุ่งหมายในทางคดีธรรม  หมายถึงความชนะที่บริสุทธิ์ยุติธรรม  และมุ่งถึงความชนะตนเองเป็นที่ตั้ง  เพราะความชนะเช่นนั้น เป็นความชนะที่ปราศจากเวรภัย  ทั้งเป็นที่ยอมรับของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายทั้งปวง  ความชนะเช่นนั้นย่อมเกิดมีขึ้นได้ก็เพราะศีลและปัญญา  ดังเช่นที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานและท่านได้รับรองและยืนยันว่า  ศีลเท่านั้นเป็นเลิศในโลก  เพราะศีล  ไม่ว่าจะเป็นศีลประเภทใด  มีศีล ๕ เป็นต้น  ล้วนแต่เป็นข้อปฏิบัติเป็นเครื่องดำเนินของชีวิต  ทำชีวิตให้เป็นอยู่อย่างปกติ  ที่นั้นก็เป็นสุข  ศีลนั้นนอกจากเป็นเลิศในการทำผู้ปฏิบัติให้มีความเป็นอยู่อย่างปกติสุขแล้ว  ศีลยังเป็นเลิศในด้านปรับปรุงรากฐานของชีวิตให้มั่นคง  เป็นที่พึ่ง  เป็นบ่อเกิดแห่งคุณธรรมน้อยใหญ่ให้ตั้งมั่นและเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป  สมตามเทศนานัยเถรภาษิต  ที่มาในขุททกนิกาย  เถรคาถาว่า
อาทิ  สีลํ  ปติฏฺฐา  จ        กลฺยาณนญฺจ  มาตุกํ
ปมุขํ  สพฺพธมฺมานํ          ตสฺมา  สีลํ  วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น  เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง  เพราะเหตุนั้น  ควรชำระศีลให้บริสุทธิ์.
ศีลจะมีคุณค่า  มีประสิทธิภาพ  เป็นที่พึ่ง  เป็นมารดา  เป็นประมุขของความดีทั้งปวงได้  ก็อยู่ที่ผู้ปฏิบัติคอยพิจารณาสำรวจตรวจตรา  ชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ  ไม่ให้ขาดไม่ให้ด่างพร้อย  ศีลที่บริสุทธิ์จึงเป็นเลิศในการเป็นเกราะคุ้มครองเวรภัย  ทำความระแวงหวาดกลัวให้สลายไป มีความเป็นอยู่เป็นสุขสดใสในโลกสันนิวาสนี้  สมจริงตามพระคาถาบาลี  ที่มาในขุททกนิกาย  ธรรมบทว่า
สุสุขํ  วต ชีวาม      เวริเนสุ  อเวริโน
เวริเนสุ  มนุสฺเสสุ     วิหาราม  อเวริโน
ในหมู่มนุษย์ผู้มีเวรกัน  เราเป็นผู้ไม่มีเวรอยู่  ในหมู่มนุษย์
ผู้มีเวรกัน  เราเป็นผู้ไม่มีเวรอยู่  เราจึงเป็นอยู่อย่างเป็นสุขดีหนอ.
      การรักษาศีลให้บริสุทธิ์  เป็นที่มั่นใจในศีลของตนก็ต้องอาศัยปัญญา ปัญญาเป็นเครื่องชำระศีลให้บริสุทธิ์  ศีลนั้นแม้จะเป็นเลิศ  ทำให้ปลอดเวรปลอดภัย  มีความสุขกายสุขใจได้  ก็อยู่ในระดับของศีลเท่านั้น  เพราะศีลเป็นเพียงเบื้องต้น  เป็นเครื่องป้องกัน  กำจัดได้เฉพาะกิเลสอย่างหยาบ  มีทุจริตทางกาย  ทางวาจา  ปิดกั้นทุคติภูมิ  เปิดทางนำไปสู่ทุคติภูมิเท่านั้นศีลเป็นเครื่องอบรมจิตเบื้องต้น  ทำจิตให้มีหลัก  หนักแน่นเป็นสมาธิที่จะดำเนินไปสู่ระดับสูงยิ่งๆ ขึ้นไป    ผู้มีศีลสมบูรณ์  มีสมาธิ  มีปัญญาพอประมาณ  เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งอริยคุณขั้นสูงสุด  คือพระอรหันต์  ปัญญาจึงเป็นคุณขั้นอุดม  สามารถกำจัดกิเลสาสวะทั้งอย่างหยาบ  อย่างละเอียดให้หมดสิ้นไป  ไม่มีส่วนเหลือ  เมื่อกล่าวถึงความชนะกันแล้ว  ผู้ที่กำจัดกิเลสของตนได้  ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส  ไม่ถูกกิเลสฉุดคร่าพาไป  ผู้นั้นชื่อว่า  เป็นผู้ชนะตนเอง  ผู้ที่ชนะตนเองได้  ได้ชื่อว่าเป็นจอมแห่งผู้ชนะ  ความข้อนี้ สมกับพระพุทธวจนะคาถาที่มาใน  ขุททกนิกาย  ธรรมบทว่า
โย  สหสฺสํ  สหสฺเสน   สงฺคาเม  มานุเส  ชิเน
เอกญฺจ  ชยมตฺตานํ   ส  เว  สงฺคามชุตฺตโม
บุคคลใด  พึงชนะหมู่มนุษย์ตั้งพันคูณด้วยพันในสงคราม  บุคคลนั้น
(ยังหา) ชื่อว่าเป็นผู้ชนะอย่างสูงในสงครามไม่  ส่วนบุคคลใด  พึงชนะ
ตนผู้เดียวได้  บุคคลนั้นแล (ชื่อว่า) เป็นยอดแห่งผู้ชนะในสงคราม.
      ความข้อนี้  พึงเห็นได้จากพระปฏิปทาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงชนะศัตรูหมู่มารคนพาลทั้งปวงเป็นอุทาหรณ์  พระองค์ทรงใช้คุณธรรม คือ ศีลและปัญญา  เป็นเครื่องปราบ  ทำเหล่าพาลให้สงบราบคาบ  โดยไม่รู้สึกตัวว่า  ตนเป็นผู้ได้รับความเจ็บช้ำระกำใจ  ไม่คิดจองเวรจองภัย  เพราะความพ่ายแพ้  มีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย  และเป็นที่ชื่นชมแซ่ซ้องสาธุการกันทั่วหน้า  ปราชญ์ผู้มีปัญญาในอดีตจึงได้บันทึก  จารึกเป็นพุทธชยมงคลอัฏฐคาถา สรรเสริญพุทธปฏิปทาที่ทรงมีชัยแก่เหล่าหมู่มารพาลร้ายครั้งยิ่งใหญ่รวม ๘ หน พุทธศาสนิกชนผู้มีศรัทธา ใช้เป็นข้อสวดร้องท่องบ่น  จำทรงสืบๆ กันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
      สรุปความตามที่ได้บรรยายมา  จะเห็นจริงได้ว่า  ศีลและปัญญาเป็นปฏิปทาที่ล้ำเลิศประเสริฐสูงสุด  ใช้ได้ทั้งเป็นเกราะและอาวุธรักษาตน  ทั้งเป็นเครื่องต่อสู้กับเหล่าพาลชนประสบผลคือความมีชัย  เป็นที่พึ่งพอใจของมนุษย์และเทวดา  สมตามกระทู้ธรรมคาถาที่ตั้งไว้ตอนต้น  ซึ่งมีอรรถาธิบายตามที่บรรยายมา  ด้วยประการฉะนี้ ฯ

พุทธศาสนสุภาษิต
จิตตวรรค  คือ  หมวดจิต
                   ๑.    อนวสสุตจิตตสส                อนนวาหตเจตโส
                ปุญญปาปปหีนสส                        นตถิ  ชาครโต ภยํ.
               ผู้มีจิตอันไม่ชุ่มด้วยราคะ  มีใจอันโทสะไม่กระทบแล้ว 
                      มีบุญและบาปอันละได้แล้ว    ตื่นอยู่  ย่อมไม่มีภัย
                          ( พุท)                          ขุ.   .    ๒๕ / ๒๐.

                   .    กุมฺภูปมํ  กายมิมํ  วิทิตฺวา
                          นครูปมํ  จิตตมิทํ  ถเกตวา
                          โยเธถ  มารํ  ปญญาวุเธน
                          ชิตญจ  รกเข  อนิเวสโน  สิยา
               บุคคลรู้กายนี้ที่เปรียบด้วยหม้อ  กั้นจิตที่เปรียบด้วยเมืองนี้แล้ว 
                      พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญา  และพึงรักษาแนวที่ชนะไว้  ไม่พึงยับยั้งอยู่
                          ( พุทธ )                          ขุ.   ธ.    ๒๕ / ๒๐.

                   ๓.    จิตเตน  นียติ  โลโก            จิตเตน  ปริกสสติ
                  จิตตสส  เอกธมมสส                    สพเพว  วสมนวคู.
                   โลกถูกจิตนำไป  ถูกจิตชักไปสัตว์ทั้งปวงไปสู่อำนาจแห่งจิตอย่างเดียว
                          ( พุทธ )                          สํ.   .    ๑๕ / ๕๔.

                   ๔.    ตณหาธิปนนา  วตตสีลพทธา
                ลูขํ  ตปํ  วสสสตํ  จรนตา
                          จิตตญจ  เนสํ  น  สมมา  วิมุตตํ
                          หีนตตรูปา  น  ปารงคมา  เต.                                                            
            ผู้ถูกตัณหาครอบงำ  ถูกศีลพรตผูกมัด  ประพฤติตบะอันเศร้าหมองตั้งร้อยปี,    
                   จิตของเขาก็หลุดพ้นด้วยดีไม่ได้  เขามีตนเลวจะถึงฝั่งไม่ได้
                          ( พุทธ )                          สํ.   ส.    ๑๕ / ๔๐.

                   ๕.    ทุนนิคคหสส  ลหุโน            ยตถ  กามนิปาติโน
                          จิต ตสส  ทมโถ  สาธุ          จิตตํ  ทนตํ  สุขาวหํ.
            การฝึกจิตที่ข่มยาก  ที่เบา  มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่ 
                   เป็นความดี(เพราะว่า)     จิตที่ฝึกแล้ว  นำสุขมาให้
                          ( พุทธ )                          ขุ.  ธ.  ๒๕ / ๑๙.
                        
                   ๖.    ปทุฏฐจิตตสส  น  ผาติ  โหติ
                น  จาปิ  นํ  เทวตา  ปูชยนติ
                          โย  ภาตรํ  เปตติกํ  สาปเตยยํ
                          อวญจยี  ทุกกฏกมมการี.
                 ผู้ใดทำกรรมชั่ว  ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติพี่น้องพ่อแม่ 
                          ผู้นั้นมีจิตชั่วร้าย  ย่อมไม่มีความเจริญ  แม้เทวดาก็ไม่บูชาเขา
                          ( นทีเทวดา )                    ขุ.  ชา.  ติก.  ๒๗ /๑๒๐.

                   ๗.    ภิกขุ  สิยา  ฌายิ  วิมุตตจิตโต
                          อากงเข  เว  หทยสสานุปตตึ
                          โลก สส  ญตวา  อุทยพพยญจ
                          สุเจต โส  อนิสสิโต  ตทานิสํโส.
                ภิกษุเพ่งพินิจ  มีจิตหลุดพ้น  รู้ความเกิดและความเสื่อมแห่งโลกแล้ว 
                          มีใจดี  ไม่ถูกกิเลสอาศัย  มีธรรมนั้นเป็นอานิสงส์  พึงหวังความบริสุทธิ์แห่งใจได้
                          ( เทวปุ ต)                     สํ๑๔ / ๗๓.

                   ๘.    โย  อลีเนน  จิตเตน            อลีนมนโส  นโร
                          ภาเวติ  กุสลํ  ธมมํ             โยคกเขมสส  ปตติยา
                          ปาปุเณ  อนุปุพเพน            สพพสํโยชนกขยํ.
                  คนใด  มีจิตไม่ท้อถอย  มีใจไม่หดหู่  บำเพ็ญกุศลธรรม 
                          เพื่อบรรลุธรรมที่เกษมจากโยคะ  พึงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวงได้.          
                          ( พุทธ )                          ขุ.  ชา.  เอก.  ๒๗ / ๑๘.

                   ๙.    สุทุททสํ  สุนิปุณํ                ยตถ  กามนิปาตินํ
                          จิต ตํ  รกเขถ  เมธาวี          จิตตํ  คุตตํ  สุขาวหํ.
                   ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตที่เห็นได้ยากนัก  ละเอียดนัก 
                          มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่,  (เพราะว่า)  จิตที่คุ้มครองแล้ว  นำสุขมาให้
                          ( พุทธ )                          ขุ๒๕ / ๑๙.

ธัมมวรรค    คือ    หมวดธรรม
                   ๑๐อตถงคตสส  น  ปมาณมตถิ
                          เยน  นํ  วชชุ  ตํ  ตสส  นตถิ
                          สพเพสุ  ธมเมสุ  สมูหเตสุ
                          สมูหตา  วาทปถาปิ  สพเพ
                   ท่านผู้ดับไป  (คือปรินิพพาน)  แล้ว  ไม่มีประมาณจะพึงกล่าวถึงท่านนั้นด้วยเหตุใด  เหตุนั้นของท่านก็ไม่มีเมื่อธรรมทั้งปวง  (มีขันธ์เป็นต้น)  ถูกเพิกถอนแล้ว  แม้คลองแห่งถ้อยคำที่จะพูดถึง  (ว่าผู้นั้นเป็นอะไร)  ก็เป็นอันถูกเพิกถอนเสียทั้งหมด
                          ( พุทธ )                          ขุ.  สุ.  ๒๕ / ๕๓๙. ขุ.  จู.  ๓๐ / ๑๓๙.

                   ๑๑.  อาทาน  ตณฺหํ  วินเยถ  สพฺพํ
                          อุทฺธํ  อโธ  ติริยํ  วาปิ  มชฺเฌ
                          ยํ  ยํ  หิ  โลกสฺมึ  อุปาทิยนฺติ
                          เต เนว  มาโร  อนฺเวติ  ชนฺตุ
                 พึงขจัดตัณหาที่เป็นเหตุถือมั่นทั้งปวง  ทั้งเบื้องสูง  เบื้องต่ำ  เบื้องขวาง  ท่ามกลาง,       เพราะเขาถือมั่นสิ่งใด ๆ  ในโลกไว้  มารย่อมติดตามเขาไป  เพราะสิ่งนั้น ๆ
                   (พุทธ)                                   ขุ.  สุ.  ๒๕ / ๕๔๖. ขุจู๓๐ / ๒๐๒.

                   ๑๒อุจฺฉินฺท  สิเนหมตฺตโน
                          กุมุทํ  สารทิกํว  ปาณินา
                          สนฺ ติมคฺคเมว  พฺรูหย
                          นิพฺพานํ  สุคเตน  เทสิตํ
                   จงเด็ดเยื่อใยของตนเสีย  เหมือนเอาฝ่ามือเด็ดบัวในฤดูแล้ง  จงเพิ่มพูนทางสงบ     (ให้ถึง)  พระนิพพานที่พระสุคตแสดงแล้ว
                   (พุทธ)                                                                   ขุ.  ธ.  ๒๕ / ๕๓.

                   ๑๓.  โอวเทยยานุสาเสยย           อสพภา  จ  นิวารเย
                          สตํ  หิ  โส  ปิโย  โหติ         อสตํ  โหติ  อปปิโย.
                  บุคคลควรเตือนกัน  ควรสอนกัน  และป้องกันจากคนไม่ดี 
                          เพราะเขาย่อมเป็นที่รักของคนดี  แต่ไม่เป็นที่รักของคนไม่ดี
                          (พุทธ)                            ขุ.  ธ.  ๒๕ / ๒๕.
                  
                   ๑๔.  กาเมสุ  พรหมจริยวา          วีตตณโห  สทา  สโต
                          สงขาย  นิพพุโต  ภิกขุ         ตสส  โน  สนติ  อิญชิตา
                   ภิกษุผู้เห็นโทษในกาม  มีความประพฤติประเสริฐ  ปราศจากตัณหา 
                   มิสติทุกเมื่อ     พิจารณาแล้ว  ดับกิเลสแล้ว  ย่อมไม่มีความหวั่นไหว
                          (พุทธ)                            ขุ.  สุ.  ๒๕ / ๕๓๑. ขุจู๓๐ / ๓๕.
                   ๑๕.  ขตติโย  จ  อธมมฏโฐ          เวสโส  จาธมมนิสสิโต
                          เต  ปริจจชชุโภ  โลเก         อุปปชชนติ  ทุคคตึ
                   กษัตริย์ไม่ทรงตั้งอยู่ในธรรม  และแพศย์  (นสามัญไม่อาศัยธรรม 
                   ชนทั้ง  ๒    นั้นละโลกแล้ว  ย่อมเข้าถึงทุคติ
                          (โพธิสตต)                        ขุ.  ชา  ปญจก.  ๒๗ / ๑๗๕. 
 
                   ๑๖.  คตทธิโน  วิโสกสส              วิปปมุตตสส  สพพธิ
                          สพพคนถปปหีนสส             ปริฬาโห  น  วิชชติ                                             
                   ท่านผู้มีทางไกลอันถึงแล้ว  หายโศก  หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง 
                   ละกิเลสเครื่องรัดทั้งปวงแล้ว  ย่อมไม่มีความเร่าร้อน
                          (พุทธ)                            ขุ๒๕ / ๒๗.

                   ๑๗จเช  ธนํ  องควรสส  เหตุ
                          องคํ  จเช  ชีวิตํ  รกขมาโน
                          องคํ  ธนํ  ชีวิตญจาปิ  สพพํ
                          จเช  นโร  ธมมมนุสสรนโต
                   พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะเมื่อรักษาชีวิตพึงสละอวัยวะ
                   เมื่อคำนึงถึงธรรม  พึงสละอวัยวะ  ทรัพย์  และแม้ชีวิต  ทุกอย่าง
                          (โพธิสตต)                        ขุ. ชา. อสีติ. ๒๘ / ๑๔๗.

                   ๑๘.  ฉนทชาโต  อนกขาเต          มนสา  จ  ผุโฐ  สิยา
                          กาเม  จ  อปฏิพทธจิตโต      อุทธํโสโตติ  วุจจติ
                   พึงเป็นผู้พอใจและประทับใจในพระนิพพานที่บอกไม่ได้ 
                   ผู้มีจิตไม่ติดกาม  ท่านเรียกว่าผู้มีกระแสอยู่เบื้องบน
                          (พุท)                            ขุ.   .    ๒๕ / ๔๔.

                   ๑๙ชิฆจฉา  ปรมา  โรคา          สงขารา  ปรมา  ทุกขา
                          เอตํ  ญตวา  ยถาภูตํ           นิพพานํ  ปรมํ  สุขํ.   
                   ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง  สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง 
                   รู้ข้อนั้นตามเป็นจริงแล้ว    ดับเสียได้  เป็นสุขอย่างยิ่ง.
                          (พุทธ)                            ขุ๒๕ / ๔๒.

                   ๒๐ชีรนติ  เว  ราชรถา  สุจิตตา
                          อโถ  สรีรมปิ  ชรํ  อุเปติ
                          สตญจ  ธมโม  น  ชรํ  อุเปติ
                          สนโต  หเว  สพภิ  ปเวทยนติ.
                   ราชรถอันงดงามย่อมคร่ำคร่า  แม้ร่างกายก็เข้าถึงชรา 
                   ส่วนธรรมของสัตบุรุษย่อมไม่เข้าถึงชรา  สัตบุรุษกับอสัตบุรุษเท่านั้นย่อมรู้กันได้
                   (พุทธ)                                   สํ.  ส.  ๑๕ / ๑๐๒.

                   ๒๑.  เต  ฌายิโน  สาตติกา          นิจจํ  ทฬหปรกกมา
                          ผุสนติ  ธีรา  นิพพานํ          โยคกเขมํ  อนุตตรํ.
                   ผู้ฉลาดนั้นเป็นผู้เพ่งพินิจ  มีเพียรติดต่อ  บากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์ 
                   ย่อมถูกต้องพระนิพพานอันปลอดจากโยคะ  หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
                          (พุทธ)                            ขุ.  ธ.  ๒๕ / ๑๘.

                   ๒๒.  ทุกขเมว  หิ  สมโภติ           ทุกขํ  ติฏฐติ  เวติ  จ
                          นาญญตร  ทุกขา  สมโภติ    นาญญตร  ทุกขา  นิรุชฌติ
                   ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น  ทุกข์ย่อมตั้งอยู่  และเสื่อมไป 
                   นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด     นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
                          (วชิราภิกขุนี )                   สํ. ส. ๑๕ / ๑๙๙. ขุ. มหา. ๒๙ / ๕๓๖.

                   ๒๓.  ธมโม  ปโถ  มหาราช          อธมโม  ปน  อุปปโถ
                          อธมโม  นิรยํ  เนติ             ธมโม  ปาเปติ  สุคตึ
                   มหาราช   ธรรมเป็นทาง  (ควรดำเนินตาม)  ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทาง 
                   (ไม่ควรดำเนินตาม)  อธรรมนำไปนรก  ธรรมให้ถึงสวรรค์
                          (โพธิสตต)                        ขุ.  ชา.  สฏฐิ.  ๒๘ / ๓๙.

                   ๒๔.  นนทิสญโญชโน  โลโก         วิตกกสส  วิจารณา
                          ตณหาย  วิปปหาเนน          นิพพานํ  อิติ  วุจจติ
                   สัตว์โลกมีความเพลินเป็นเครื่องผูกพัน  มีวิตกเป็นเครื่องเที่ยวไป 
                   ท่านเรียกว่านิพพาน  เพราะละตัณหาได้
                          ( พุทธ )                          ขุ. สุ. ๒๕ / ๕๔๗. ขุ. จุ. ๓๐/๓๑๖,๒๑๗..

                   ๒๕.  นาญฺญตฺร  โพชฺฌาตปสา      นาญฺญตฺร  อินฺทฺริยสํวรา
                          นาญฺญตฺร  สพฺพนิสฺสคฺคา     โสตฺถึ  ปสฺสามิ  ปาณินํ
                   เรา  (ตถาคต)  ไม่เห็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย  นอกจากปัญญา 
                   ความเพียร     ความระวังตัว  และการสละสิ่งทั้งปวง
                          (พุทธ)                            สํ๑๕ / ๗๕.
                   ๒๖ปญฺจกฺขนฺธา  ปริญฺญาตา      ติฏฺฐนฺติ  ฉินฺนมูลกา
                          ทุกฺขกฺขโย  อนุปฺปตฺโต         นตฺถิทานิ  ปุนพฺภโว.
                   เบญจขันธ์ที่กำหนดรู้แล้ว มีรากขาดตั้งอยู่ ถึงความสิ้นทุกข์แล้ว ก็ไม่มีภพต่อไปอีก
                          (พรหมทตตเถรี)                ขุ.  เถร.  ๒๖ /๓๓๔.   

                   ๒๗.  ปตตา เต  นิพฺพานํ เย ยุตฺตา ทสพลสฺส  ปาวจเน
                          อปฺโปสฺสุกฺกา  ฆเฏนฺติ         ชาติมรณปฺปหานาย.
                   ผู้ใด  ประกอบในธรรมวินัยของพระทศพล  มีความขวนขวายน้อย 
                   พากเพียรละความเกิดความตาย  ผู้นั้นย่อมบรรลุพระนิพพาน
                          (สุเมธาเถร)                      ขุ.  เถรี.  ๒๖ / ๕๐๒.

                   ๒๘.  พหุสฺสุตํ  อุปาเสยฺย             สุตญฺจ  น  วินาสเย
                          ตํ  มูลํ  พฺรหมฺจริยสฺส          ตสฺมา  ธมฺมธโร  สิยา.
                  พึงนั่งใกล้ผู้เป็นพหูสูต  และไม่พึงทำสุตะให้เสื่อม 
                          สุตะนั้นเป็นรากแห่งพรหมจรรย์     เพราะฉะนั้น  ควรเป็นผู้ทรงธรรม
                          (อานนทเถร)                    ขุ.  เถร.  ๒๖ / ๔๐๖.
                   ๒๙มคฺคานฏฺฐงฺคิโก  เสฏฺโฐ       สจฺจานํ  จตุโร  ปทา
                          วิราโค  เสฏฺโฐ  ธมฺมานํ       ทิปทานญฺจ  จกฺขุมา
                บรรดาทางทั้งหลาย  ทางมีองค์  ๘  ประเสริฐสุดบรรดาสัจจะทั้งหลาย  บท  ๔    ประเสริฐสุดบรรดาธรรมทั้งหลาย  วิราคธรรมประเสริฐสุดและบรรดาสัตว์  ๒  เท้าทั้งหลาย     พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุประเสริฐสุด
                          ( พุทธ )                          ขุ.   ธ.    ๒๕ / ๕๑.

                   ๓๐.  ยตฺถ  นามญฺจ  รูปญฺจ         อเสสํ  อุปรุชฺฌติ
                          วิญฺญาณสฺส  นิโรเธน          เอตฺเถตํ  อุปรุชฺฌติ.
                  นามและรูป  ย่อมดับไม่เหลือในที่ใด  นามและรูปนี้ 
                          ย่อมดับในที่นั้น  เพราะวิญญาณดับ.
                   ( พุทธ )    ขุ.  สุ.   ๒๕ / ๕๓๑.    ขุ. จุ. ๓๐/๒๑.

                   ๓๑.  ยมฺหิ  สจฺจญฺจ  ธมฺโม  จ      อหึสา  สญฺญโม  ทโม
                          เอตทริยา  เสวนฺติ              เอตํ  โลเก  อนามตํ.
                 สัจจะ  ธรรมะ  อหิงสา  สัญญมะ  และทมะ  มีอยู่ในผู้ใด 
                   อารยชนย่อมคบผู้นั้น     นั่นเป็นธรรมอันไม่ตายในโลก.
                          ( อุปสาฬหกโพธิสตต )        ขุชาทุก๒๗ / ๕๘.
                   ๓๒ยานิ  โสตานิ  โลกสฺมึ          สติ  เตสํ  นิวารณํ
                          โสตานํ  สํวรํ  พฺรูมิ             ปญฺญาเยเต  ปิถิยฺยเร.
                   กระแสเหล่าใดมีอยู่ในโลก  สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น 
                          เรากล่าวว่าสติเป็นเครื่องกั้นกระแส  กระแสเหล่านั้นอันบุคคลปิดกั้นได้ด้วยปัญญา
                          (พุทธ)                            ขุ.สุ.๒๕ /๕๓๐. ขุ.จู.๓๐/๑๖, ๒๐.

                   ๓๓.  เย  สนตจิตฺตา  นิปกา         สติมนฺโต  จ  ฌายิโน
                          สมฺมา  ธมฺมํ  วิปสฺสนฺติ        กาเมสุ  อนเปกฺขิโน
                 ผู้มีจิตสงบ  มีปัญญาเครื่องรักษาตัว  มีสติ 
                          เป็นผู้เพ่งพินิจไม่เยื่อใยในกาม        ย่อมเห็นธรรมโดยชอบ
                          (พุทธ)                            ขุ.   อิติ.   ๒๕ / ๒๖๐.

                   ๓๔.  โย  จ  ปปญฺจํ  หิตฺวาน        นิปฺปปญฺจปเท  รโต
                          อาราธยิ  โส  นิพฺพานํ         โยคกฺเขมํ  อนุตฺตรํ
                  ผู้ใดละปปัญจธรรมที่ทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว  ยินดีในธรรมที่ไม่มีสิ่งทำให้เนิ่นช้า 
                          ผู้นั้นก็บรรลุพระนิพพานอันปลอดจากโยคะ  ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
                          (สารีปุต)                       องฺฉกฺก.   ๒๒ / ๓๒๙

                   ๓๕สกํ  หิ  ธมฺมํ  ปริปุณฺณมาหุ
                          อญญสฺส  ธมฺมํ  ปน  หีนมาหุ
                          เอวมฺปิ  วิคฺคยฺห  วิวาทยนฺติ
                          สกํ  สกํ  สมฺม  สติมาหุ  สจฺจํ
                สมณพราหมณ์บางเหล่า  กล่าวธรรมของตนว่าบริบูรณ์
                          แต่กล่าวธรรมของผู้อื่นว่าเลว  (บกพร่อง)
                          เขาย่อมทะเลาะวิวาทกันแม้ด้วยเหตุนี้ 
                          เพราะต่างก็กล่าวข้อสมติของตน ๆ  ว่าเป็นจริง
                          (พุทธ)    ขุ.  สุ.   ๒๕ / ๕๑๑.                              ขุ.  มหา.  ๒๙ / ๓๘๓.

                   ๓๖.  สมฺมปฺปธานสมฺปนฺโน          สติปฏฺฐานโคจโร
                          วิมุตฺติกุสุม  สญฺฉนฺโน          ปรินิพฺพายิสฺสตฺยนาสโว
                ผู้ถึงพร้อมด้วยสัมมัปปธาน  มีสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ 
                          ดาดาษด้วยดอกไม้คือวิมุตติ  หาอาสวะมิได้  จักปรินิพพาน
                          (เทวสภเถร)                     ขุเถร๒๖ / ๒๘๒.

                   ๓๗สุขํ  วต  นิพฺพานํ               สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิตํ
                          อโสกํ  วิรชํ  เขมํ                ยตฺถ  ทุกฺขํ  นิรุชฺฌติ
                พระนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว 
                          ไม่มีโศกปราศจากธุลี  เกษม     เป็นที่ดับทุกข์  เป็นสุขดีหนอ
                          (หาริตเถร)                       ขุ.  เถร.   ๒๖ / ๓๐๙.

                   ๓๘.  โสรจฺจํ  อวิหึสา  จ             ปาทา  นาคสฺส  เต  ทุเว
                          สติ  จ  สมฺปชญฺญญฺจ          จรณา  นาคสฺส  เต  ปเร
                โสรัจจะและอวิหิงสานั้น  เป็นช้างเท้าหลัง 
                          สติและสัมปชัญญะนั้น  เป็นช้างเท้าหน้า
                          (อุทายีเถร)                      ขุเถร.   ๒๖ / ๓๖๘.

                   ๓๙หีนํ  ธมฺมํ  น  เสเวยฺย         ปมาเทน  น  สํวเส
                          มิจฺฉาทิฏฺฐึ  น  เสเวยฺย        น  สิยา  โลกวฑฺฒโน
                ไม่ควรเสพธรรมที่เลว  ไม่ควรอยู่กับความประมาท 
                          ไม่ควรเสพมิจฉาทิฏฐิ  ไม่ควรเป็นคนรกโลก
                          (พุท)                            ขุ.   .    ๒๕ / ๓๗.

                   ๔๐หีเนน  พฺรหฺมจริเยน           ขตฺติเย  อุปปชฺชติ
                          มชฺฌิเมน  จ  เทวตฺตํ           อุตฺตเมน  วิสุชฺฌติ.
                บุคคลย่อมเข้าถึงความเป็นกษัตริย์  ด้วยพรหมจรรย์อย่างเลว
                          ถึงความเป็นเทวดา  ด้วยพรหมจรรย์อย่างกลาง,
                          ย่อมบริสุทธิ์  ด้วยพรหมจรรย์อย่างสูง
                          (พุทธ)                            ขุ.  ชา.  มหา.  ๒๘ / ๑๙๙.

วิริยวรรค    คือ    หมวดความเพียร
                   ๔๑.  โกสชฺชํ  ภยโต  ทิสฺวา          วิริยารมฺภญฺจ  เขมโต
                          อารทฺธวิริยา  โหถ              เอสา  พุทฺธานุสาสนี
                ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย    
                          และเห็นการปรารภความเพียรเป็นความปลอดภัย    
                          แล้วปรารภความเพียรเถิด     นี้เป็นพุทธานุศาสนี
                          (พุทธ)                            ขุ.  จริยา.  ๓๓ / ๕๙๕

                  
                   ๔๒.  ตุมฺเหหิ  กิจฺจํ  อาตปฺปํ         อกฺขาตาโร  ตถาคตา
                          ปฏิปนฺนา  ปโมกฺขนฺติ          ฌายิโน  มารพนฺธนา
                          ท่านทั้งหลายต้องทำความเพียรเอง  ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก
                          ผู้มีปกติเพ่งพินิจดำเนินไปแล้ว  จักพ้นจากเครื่องผูกของมาร
                          (พุทธ)                            ขุ.   ๒๕ / ๕๑.

                   ๔๓นิทฺทํ  ตนฺทึ  วิชิมฺหิตํ           อรตึ  ภตฺตสมฺมทํ
                          วิริเยน  นํ  ปณาเมตฺวา        อริยมคฺโค  วิสุชฺฌติ.
                อริยมรรคย่อมบริสุทธิ์  เพราะขับไล่ความหลับ 
                          ความเกียจคร้าน  ความบิดขี้เกียจ    
                          ความไม่ยินดี  และความเมาอาหารนั้นได้ด้วยความเพียร
                          (พุทธ)                            สํ.  ส.  ๑๕ / ๑๐.

                   ๔๔.  โย  จ  วสฺสสตํ  ชีเว            กุสีโต  หีนวีริโย
                          เอกาหํ  ชีวิตํ  เสยฺโย           วิริยํ  อารภโต  ทฬฺหํ
                ผู้ใดเกียจคร้าน  มีความเพียรเลว  พึงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี 
                          แต่ผู้ปรารภความเพียรมั่นคง  มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว  ประเสริฐกว่าผู้นั้น
                          (พุท)                            ขุ.   ๒๕ / ๓๐

                   ๔๕สพฺพทา  สีลสมฺปนฺโน          ปญฺญวา  สุสมาหิโต
                          อารทฺธวิริโย  ปหิตตฺโต         โอฆํ  ตรติ  ทุตฺตรํ
                ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล  มีปัญญา  มีใจมั่งคงดีแล้ว  ปรารภความเพียร 
                          ตั้งตนไว้ในกาลทุกเมื่อ  ย่อมข้ามโอฆะที่ข้ามได้ยาก
                          (พุทธ)                            สํ.  ส.    ๑๕ / ๗๔

สามัคคีวรรค    คือ    หมวดสามัคคี
                   ๔๖.  วิวาทํ  ภยโต  ทิสฺวา           อวิวาทญฺจ  เขมโต
                          สมคฺคา  สขิลา  โหถ           เอสา  พุทฺธานุสาสนี
                 ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย 
                          และความไม่วิวาทโดยความปลอดภัยแล้ว  เป็นผู้พร้อมเพรียง 
                          มีความประนีประนอมกันเถิด  นี้เป็นพระพุทธานุศาสนี
                          (พุทธ)                            ขุจริยา.    ๓๓ / ๕๙๕.

                   ๔๗สามคฺยเมว  สิกฺเขถ            พุทฺเธเหตํ  ปสํสิตํ
                          สามคยรโต  ธมมฏโฐ          โยคกเขมา  น  ธํสติ
                พึงศึกษาความสามัคคีความสามัคคีนั้น  ท่านผู้รู้ทั้งหลาย  สรรเสริญแล้ว
                          ผู้ยินดีในสามัคคี  ตั้งอยู่ในธรรม  ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
                          (พุทธ)                            ขุ.  ชา.  เตรส.     ๒๗  / ๓๔๖.

                   ๔๘.  สุขา  สงฺฆสฺส  สามคฺคี         สมคฺคานญฺจนุคฺคโห
                          สมคฺครโต  ธมฺมฏฺโฐ            โยคกฺเขมา  น  ธํสติ
                ความพร้อมเพรียงของหมู่เป็นสุข  และการสนับสนุนคนผู้พร้อมเพรียงกันก็เป็นสุข,    
                          ผู้ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน 
                          ตั้งอยู่ในธรรมย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
                          ( พุทธ )                          ขุ.  อิติ.   ๒๕ / ๒๓๘.

อัปปมาทวรรค    คือ    หมวดไม่ประมาท
                   ๔๙.  อปฺปมตฺตา  สตีมนฺโต          สุสีลา  โหถ  ภิกฺขโว
                          สุสมาหิตสงฺกปฺปา              สจิตฺตมนุรกฺขถ
                 ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท  
                          มีสติ  มีศีลดีงาม  ตั้งความดำริไว้ให้ดี      คอยรักษาจิตของตน
                          (พุทธ)                            ทีมหา.    ๑๐  / ๑๔๒.

                   ๕๐อปฺปมาทรตา  โหถ             สจิตฺตมนุรกฺขถ
                          ทุคฺคา  อุทฺธรถตฺตานํ           ปงฺเก  สนฺโนว  กุญฺชโร
                 ท่านทั้งหลาย  จงยินดีในความไม่ประมาท  คอยรักษาจิตของตน
                          จงถอนตนขึ้นจากหล่ม  เหมือนช่างที่ตกหล่มถอนตนขึ้นฉะนั้น
                          ( พุทธ )                          ขุ.  ธ.   ๒๕  / ๕๘.

                   ๕๑.  อปฺปมาทรโต  ภิกขุ            ปมาเท  ภยทสฺสิ  วา
                          สญฺโญชนํ  อณุ  ถูลํ            ฑหํ  อคฺคีว  คจฺฉติ
                          ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท  หรือเห็นภัยในความประมาท 
                          ย่อมเผาสังโยชน์น้อยใหญ่ไป  เหมือนไฟไหม้เชื้อน้อยใหญ่ไปฉะนั้น
                          ( พุทธ )                          ขุ.  ธ.   ๒๕  / ๑๙.
                   ๕๒.  อปฺปมาทรโต  ภิกฺขุ            ปมาเท  ภยทสฺสิ  วา
                          อภพฺโพ  ปริหานาย            นิพฺพานสฺเสว  สนฺติเก
                  ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท  หรือเห็นภัยในความประมาท 
                          เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะเสื่อม  (ชื่อว่า)  อยู่ใกล้พระนิพพานทีเดียว
                          ( พุทธ )                          ขุ.  ธ.   ๒๕  / ๑๙.

                   ๕๓.  เอวํวิหารี  สโต  อปฺปมตฺโต
                          ภิกขุ  จรํ  หิตฺวา  มมายิตานิ
                          ชาติชรํ  โสกปริทฺทวญฺจ
                          อิเธว  วิทฺวา  ปชเหยฺย  ทุกขํ
                 ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้  มีสติ  ไม่ประมาท 
                          ละความถือมั่นว่าของเราได้แล้วเที่ยวไป  เป็นผู้รู้  พึงละชาติ 
                          ชรา  โสกะ  ปริเทวะ  และทุกข์  ในโลกนี้ได้
                          ( พุทธ )    ขุ.  สุ.   ๒๕ / ๕๓๕.                            ขุ.   จู.    ๓๐ / ๙๒.
                   ๕๔.  อุฏฐาเนนปฺปมาเทน           สญฺญเมน  ทเมน  จ
                          ทีปํ  กยิราถ  เมธาวี            ยํ  โอโฆ  นาภิกีรติ
                 คนมีปัญญา  พึงสร้างเกาะ  ที่น้ำหลากมาท่วมไม่ได้ 
                          ด้วยความหมั่น  ความไม่ประมาท  ความสำรวม  และความข่มใจ
                          ( พุทธ )                          ขุ.  ธ.   ๒๕  / ๑๘.

*********************





อักษรย่อบอกนามคัมภีร์

อง.     อฏฐก.                                             องคุตตรนิกาย              อฏฐกนิปาต
อง.    จตุกก.                            “                 จตุกกนิปาต
อง.    ฉก                               “                  ฉกกนิปาต
อง.     ติก.                                                                                ติกนิปาต  
อง.    ทสก.                                                                               ทสกนิปาต
อง.    ปญจก.                                             “                             ปญจกนิปาต
อง.    สตตก.                                              “                             สตตกนิปาต
ขุ.      อิติ.                                                 ขุททกนิกาย                อิติวุตตก
ขุ.    อุ.                                                    “                             อุทาน
ขุ.    ขุ.                                                    “                             ขุททกปาฐ
ขุ.    จริยา.                                                “                             จริยาปิฏก
ขุ.    จู.                                                    “                             จูฬนิทเทส
ขุ.    ชา.    อฏฐก.                                        ขุททกนิกาย  ชาตก       อฏฐกนิปาต
ขุ.    ชา.    อสีติ.                                         “                             อสีตินิปาต
ขุ.    ชา.    เอก.                                          “                             เอกนิปาต
ขุ.    ชา.    จตตาฬีส.                                    “                             จตตาฬีสนิปาต
ขุ.    ชา.    จตุกก.                                        “                             จตุกกนิปาต
ขุ.    ชา.    ฉกก.                                         “                             ฉกกนิปาต
ขุ.    ชา.    ตึส.                                           “                             ตึสนิปาต
ขุ.    ชา.    ติก.                                           “                             ติกนิปาต
ขุ.    ชา.    เตรส.                                         “                             เตรสนิปาต
ขุ.    ชา.    ทวาทส.                                      “                             ทวาทสนิปาต                               
ขุ.    ชา.     ทสก.                                        “                             ทสกนิปาต
ขุ.    ชา.    ทุก.                                           “                             ทุกนิปาต
ขุ.    ชา.    นวก.                                         “                             นวกนิปาต


ขุ.    ชา.    ปกิณณก.                                    ขุททกนิกาย ชาตก        ปกิณณกนิปาต
ขุ.    ชา.    ปญจก.                                       “                             ปญจกนิปาต
ขุ.    ชา.    ปญญาส.                                     “                             ปญญาสนิปาต
ขุ.    ชา.    มหา.                                         “                             มหานิปาต
ขุ.    ชา.    วีส.                                           “                             วีสตินิปาต
ขุ.    ชา.    สฏฐิ.                                         “                             สฏฐินิปาต
ขุ.    ชา.    สตตก.                                        “                             สตตกนิปาต
ขุ.    ชา.    สตตติ.                                        “                             สตตตินิปาต
ขุ.    เถร.                                                   ขุททกนิกาย                เถรคาถา
ขุ.    เถรี.                                                   “                             เถรีคาถา
ขุ.    ธ.                                                     “                             ธมมปท     
ขุ.    ปฏิ.                                                   “                             ปฏิสมภิทามคค
ขุ.    พุ                                                      “                             พุทธวํส
ขุ.    มหา.                                                 “                             มหานิทเทส
ขุ.    สุ.                                                     “                             สุตตนิปาต
ที.    ปาฏิ.                                                 ทีฆนิกาย                    ปาฏิกวคค
ที.    มหา.                                                 “                             มหาวคค
ม.    อุป.                                                   มชฌิมนิกาย                อุปริปณณาสก
ม.    ม.                                                                                    มชฌิมปณณาสก 
สํ.    นิ.                                                     สํยุตตนิกาย                 นิทานวคค
สํ.    มหา.                                                                                 มหารวารวคค
สํ.    ส.                                                                                    สคาถวคค
สํ.    สฬ.                                                                                  สฬายตนวคค
ส.    ม.                                          สวดมนต์ฉบับหลวง                   (พิมพ์ครั้งที่   ๕)
- / -                                                                                        เลขหน้าขีดบอกเล่ม       เลขหลังขีดบอกหน้า                 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น