วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิชาธรรมวิจารณ์ (นักธรรมศึกษาเอก)
- ส่ปรมัตถปฏิปทา
๑.  นิพพิทา    ความหน่าย
อุทเทส
๑.เอถ  ปสฺสถิมํ  โลกํ      จิตฺตํ  ราชรถูปมํ
         ยตฺถ  พาลา  วิสีทนฺติ     นตฺถิ  สงฺโค  วิชานตํ
         สูทั้งหลาย  จงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถ 
ที่พวกคนเขลาหมกอยู่  แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่
โลกวัคค    ธัมมบท
      ๒.เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ   โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา
ผู้ใดจักระวังจิต  ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร
จิตตวัคค  ธัมมบท
โลกมี  ๒  อย่าง  คือ
๑.  โดยตรง  ได้แก่  แผ่นดินเป็นที่อาศัย
๒.  โดยอ้อม  ได้แก่  สัตว์ผู้อาศัย
ในโลกทั้ง  ๒  นี้มีสิ่งต่าง ๆ  อยู่  ๓  อย่าง  คือ
๑.)  สิ่งอันให้โทษโดยส่วนเดียว  เปรียบด้วยยาพิษ
๒.)   สิ่งอันให้โทษในเมื่อเกินพอดี  เปรียบด้วยของมึนเมา
๓.)สิ่งอันเป็นอุปการะ  เปรียบด้วยอาหาร  และเภสัช  แต่ใช้ในทางผิดอาจให้โทษก็ได้   
ผู้หมกอยู่ในโลก  คือ  คนผู้ไร้พิจารณ์  ไม่หยั่งเห็นโลกโดยถ่องแท้
อาการที่หมกอยู่ในโลก  ๓  อย่าง  คือ
๑.   เพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ
๒.  ระเริงจนเกินพอดี  ในสิ่งอันอาจให้โทษ
๓.  ติดในสิ่งเป็นอุปการะ
โทษของการหมกอยู่ในโลก
     ผู้หมกอยู่ในโลกย่อมได้เสวยทุกข์บ้าง  สุขบ้าง  อันสิ่งนั้น ๆ  พึงอำนวย  แม้สุขก็เป็นเพียงสามิส  คือ  มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจเป็นเหตุแห่งความติด  ดุจเหยื่อ  คือ  มังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้  เป็นผู้อันจะพึงจูงไปได้ตามปรารถนา
      ผู้ไม่ข้องอยู่ในโลก  คือ  บัณฑิตผู้พิจารณาเห็นความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้น ๆ ว่าฉันไรแล้ว  ไม่ข้อง  ไม่พัวพันในสิ่งอันล่อใจ  ใคร ๆ  ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดประการหนึ่งย่อมเป็นอิสระแก่ตน
      สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสชวนพุทธบริษัทให้มาดูโลก  มิใช่เพื่อให้หลงชม  ดุจดูละคร     เห็นแก่สนุก  แต่เพื่อให้หยั่งเห็นซึ้งลงไปถึงคุณและโทษแห่งสิ่งนั้น  ๆ  จะได้ไม่ตื่นเต้นไม่ติดในสิ่งนั้น  ๆ
      ผู้พ้นจากบ่วงแห่งมาร  คือ  ผู้สำรวมจิตไว้อยู่  ไม่ปล่อยให้เพลิดเพลิน  ระเริงพัวพันในสิ่งอันล่อใจ
อาการสำรวจจิต  มี  ๓  ประการ
  ๑.   สำรวมอินทรีย์  มิให้ความยินดีครอบงำในเมื่อเห็นรูป  ฟังเสียง  ดมกลิ่น  ลิ้มรส     ถูกต้องโผฎฐัพพะอันน่าปรารถนา  (อินทรียสังวรศีล)
  ๒.  มนสิการกัมมัฎฐาน  อันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ  คือ  อสุภะ  และกายคตาสติ     หรือ  (กัมมัฏฐาน)  อันยังจิตให้สลด  คือ  มรณสติ  (สมถกัมมัฏฐาน)
  ๓.  เจริญวิปัสสนา  คือ  พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์  สันนิษฐานเห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา  (วิปัสสนากัมมัฏฐาน)
มารและบ่วงแห่งมาร
   มาร  คือ  โทษที่ล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน  ได้แก่  กิเลสกาม  คือเจตสิก  (สิ่งที่เกิดภายในใจ)  อันเศร้าหมอง  ชักให้ใคร่  ให้รัก  ให้อยากได้  กล่าวคือ  ตัณหา     ความทะยานอยาก  ราคะ  ความกำหนัด  อรติ  ความขึ้งเคียด  เป็นอาทิ
  บ่วงแห่งมาร  คือ  อารมณ์เครื่องผูกจิตให้ติดแห่งมาร  เหมือนมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้     เป็นเหตุให้ปลามากินแล้วถูกเบ็ดเกี่ยวให้ติดอยู่  ได้แก่  วัตถุกาม  คือ  รูป  เสียง  กลิ่น  รส     โผฎฐัพพะ  อันเป็นของน่าชอบใจ
ปฏิปทาแห่งนิพพิทา
อุทเทส
                  สพฺเพ  สงฺขารา  อนิจฺจาติ
                  สพฺเพ  สงฺขารา  ทุกฺขาติ
      สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ      ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ
      อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข         เอส  มคฺโค  วิสุทฺธิยา
     เมื่อใด  เห็นด้วยปัญญาว่า  สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา  เมื่อนั้น  ย่อมหน่ายในทุกข์  นั่นทางแห่งวิสุทธิ
มัคควัคค    ธัมมบท
   สังขาร  ในพระพุทธพจน์นี้  ได้แก่  ขันธ์  ๕  คือ  รูป  เวทนา  สัญญา     สังขาร  วิญญาณ  (มีความหมายว่า  ถูกปัจจัย  คือ  กรรม  จิต  อุตุ  อาหาร  ปรุงแต่ง)
   สังขารในเบญจขันธ์  ได้แก่  อารมณ์อันเกิดกับจิต  เช่น  รัก  ชัง  วิตก  วิจาร     เป็นต้น  (มีความหมายว่า  เครื่องปรุงจิต)
สังขารมีลักษณะเสมอกันเป็น  ๓  คือ
๑.   อนิจจตา  ความไม่เที่ยง
๒.  ทุกขตา  ความเป็นทุกข์
๓.  อนัตตตา  ความเป็นอนัตตา
อนิจจตา  ความไม่เที่ยง  กำหนดรู้ได้  ๓  ทาง
๑.ความเกิดขึ้นในเบื้องต้น  และความสิ้นไปในเบื้องปลาย  ได้ในบาลีว่า
อนิจฺจา  วต  สงฺขารา  อุปฺปาทวยธมฺมิโน
       อุปฺปชฺชิตฺวา  นิรุชฺฌนฺติ
    สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ  มีความเกิดขึ้นและความสิ้นไปเป็นธรรมดา  เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
๒.ความแปรในระหว่างเกิดและดับ  ได้ในบาลีว่า
       อจฺเจนฺติ  กาลา  ตรยนฺติ  รตฺติโย
       วโยคุณา  อนุปุพฺพํ  ชหนฺติ.
     กาลย่อมล่วงไป  ราตรีย่อมผ่านไป  ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป
      ระยะเวลาในระหว่างเกิดและดับ  เรียกว่า  วัย  แบ่งออกเป็น  ๓  คือ
๑.   ปฐมวัย       ระยะเวลาไม่เกิน  ๒๕  ปี
๒.  มัชฌิมวัย   ระยะเวลาอยู่ใน  ๕๐  ปี
๓.  ปัจฉิมวัย     ระยะเวลาพ้น  ๕๐  ปี  ออกไปจนตลอดอายุ
    ความแปรแห่งสังขารผ่านวัยทั้ง  ๓  นั้นเปรียบด้วยเดินข้ามสะพานสูงขึ้น  (ปฐมวัย)  แล้วราบ  (มัชฌิมวัย)  แล้วต่ำลง  ๆ  (ปัจฉิมวัย)    
๓.ความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง  ๆ  คือ  ไม่คงที่อยู่นาน  เพียงในระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว  ได้ในคาถามาในวิสุทธิมรรคว่า
ชีวิตํ  อตฺตภาโว  จ        สุขทุกฺขา  จ  เกวลา
เอกจิตฺตสมา  ยุตฺตา       ลหุโส  วตฺตเต  ขโณ
    ชีวิต  อัตตภาพ  และสุขทุกข์ทั้งมวลประกอบกัน  เป็นธรรมเสมอด้วยจิตดวงเดียว  ขณะย่อมเป็นไปพลัน
     ความแปรเร็วอย่างนี้  ย่อมกำหนดเห็นชัดในนามกาย  (จิตใจ) เช่น บางขณะนึกอารมณ์อย่างนั้น บาง ขณะนึกอารมณ์อย่างนี้ บางขณะสุขหรือทุกข์เป็นต้น
สรุปอนิจจลักษณะแห่งสังขาร
   ความเกิดแล้วดับ  และความแปรในระหว่างแห่งสังขารดังกล่าวมา  สรุปเข้าในบาลีว่า
อุปฺปชฺชติ  เจว  เวติ  จ  อญฺญถา  จ  ภวติ
    ย่อมเกิดขึ้นด้วยเทียว  ย่อมเสื่อมสิ้นด้วย  ย่อมเป็นอย่างอื่นด้วย  นี้เป็น  อนิจจลักษณะ  คือ  เครื่องกำหนดว่าไม่เที่ยงแห่งสังขาร
อนิจจลักษณะได้ในสังขาร  ๒
    อนิจจลักษณะนี้ย่อมได้ทั้งในอุปาทินนกะ  คือ  สังขารมีใจครอง  ทั้งในอนุปาทินนกะ     คือ  สังขารไม่มีใจครอง
    ทุกฺขตา    ความเป็นทุกข์แห่งสังขาร  ย่อมกำหนดเห็นด้วยทุกข์อย่างนี้
๑.สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร  คือ  ชาติ  ชรา  มรณะ
๒.ปกิณณกทุกข์    ทุกข์จร  คือ  โสกะ  ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาส
๓.นิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์  หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน  ได้แก่ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
๔.พยาธิทุกข์ หรือทุกขเวทนา  มีประเภทต่างๆ ตามสมุฏฐาน คือ อวัยวะอันเป็นเจ้าการ ไม่ทำหน้าที่โดยปกติ
๕.สันตาปทุกข์ ทุกข์คือความร้อนรุ่ม  ได้แก่  ความกระวนกระวายเพราะถูกไฟ  คือ  กิเลส  ราคะ  โทสะ  โมหะ  เผา
๖.วิปากทุกข์ หรือผลกรรม  ได้แก่ วิปฏิสาร คือ ความร้อน การเสวยกรรมกรณ์ คือ การถูกลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย
๗.สหคตทุกข์ ทุกข์ไปด้วยกัน หรือ ทุกข์กำกับกันได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความวิตกกังวลกับลาภเป็นต้น
๘.อาหารปริเยฎฐิทุกข์ คือ ทุกข์ในการหากิน  ได้แก่  อาชีวทุกข์  ทุกข์เนื่องด้วยการเลี้ยงชีวิต
๙.วิวาทมูลกทุกข์ คือ ทุกข์มีวิวาทเป็นมูล ได้แก่ ความไม่โปร่ง ความกลัวแพ้ ความหวั่นหวาด  มีเนื่องมาจากทะเลาะกันก็ดี  สู้คดีกันก็ดี  รบกันก็ดี
๑๐.ทุกขขันธ์ หรือทุกข์รวบยอด หมายเอาสังขาร คือ  ประชุมเป็นปัญจขันธ์นั่นเอง
    การพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์เต็มที่  อันจะนำไปสู่นิพพิทา  ความหน่ายในสังขาร  คือ  การเห็นทุกขขันธ์นี้  ส่วนทุกข์หมวดอื่นพอเป็นเครื่องกำหนดเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์เท่านั้น
   การรู้จักใช้ญาณกำหนดเห็นทุกข์อย่างละเอียด  (แม้)  ที่โลกเห็นว่าเป็นสุข มีสหคตทุกข์เป็นนิทัศนะได้ในบาลีว่า
ทุกฺขเมว หิ สมฺโภติ    ทุกฺขํ  ติฏฐติ  เวติ  จ
นาญฺญตฺร ทุกฺขา    สมฺโภติ นาญฺญตฺร ทุกฺขา นิรุชฺฌติ
    ก็ทุกข์นั่นแลย่อมเกิดขึ้น  ทุกข์ย่อมตั้งอยู่  ย่อมเสื่อมสิ้นไปด้วย  จากทุกข์หาอะไรเกิดมิได้  นอกจากทุกข์หาอะไรดับมิได้
    บาลีนี้  เพ่งทุกข์หมวด ๑๐ นี้ ท่านจัดความเป็นสภาพถูกความเกิด  และความสิ้นบีบคั้นเป็นทุกขลักษณะ  เครื่องกำหนดว่า  เป็นทุกข์แห่งสังขาร
    เมื่อเพ่งถึงสภาพที่ถูกความเกิด และความสิ้นบีบคั้น  เป็นทุกขลักษณะ ดังนั้น ทุกขลักษณะจึงได้ในสังขารทั้ง  ๒ คือ อุปาทินนกสังขาร และอนุปาทินนกสังขาร
   อนตฺตตา  ความเป็นอนัตตาแห่งสังขาร  พึงกำหนดรู้ด้วยอาการ  ๕  เหล่านี้  คือ
๑.   ด้วยไม่อยู่ในอำนาจ  หรือ  ฝืนความปรารถนา  ชีวิตไม่ได้อย่างใจหวังเสมอไป
๒.  ด้วยแย้งต่ออัตตา  เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า  อัตตาที่ลัทธิอื่นบัญญัตินั้นไม่มี
๓.  ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้  ไม่มีใครมีสิทธิในอะไรที่แท้จริง
๔.   ด้วยความเป็นสภาพสูญ เป็นภาพลวงตา  เหมือนพยับแดด หรือ รถ เรือน  เป็นต้น
๕.   ด้วยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีผู้สร้างหรืออำนาจดลบันดาลใด ๆ  ทั้งสิ้น
    อนัตตลักษณะ  เครื่องหมายของความเป็นอนัตตาแห่งสังขาร  มติค้านอัตตาของลัทธิอื่นที่เชื่อความเวียนเกิดว่า  ในรูปกายนี้มีอัตตาสิงอยู่  เป็นผู้คิด  เป็นผู้เสวยเวทนา  และสำเร็จอาการอย่างอื่นอีก
   มติฝ่ายพระพุทธศาสนาแย้งว่า  ไม่มีอัตตาอย่างนั้น  เป็นแต่สภาวธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุ  สิ้นเพราะสิ้นเหตุ  ดังแสดงในบาลีว่า
เย  ธมฺมา  เหตุปฺปภวา     เตสํ  เหตุ   ตถาคโต
เตสญจ  โย  นิโรโธ  จ      เอวํวาที  มหาสมโณ
    ธรรมเหล่าใด  มีเหตุเป็นแดนเกิด  พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรม  และตรัสความดับแห่งธรรมเหล่านั้น  พระมหาสมณะตรัสอย่างนี้
    และมติฝ่ายพระพุทธศาสนา  แสดงความเกิดแห่งธรรมเนื่องกันเป็นสายดังแสดงความเกิดแห่งวิถีจิตว่า
อาศัยอายตนะภายใน  มีจักษุ  เป็นต้น
อาศัยอายตนะภายนอก  มีรูป  เป็นต้น
   ทั้งสองฝ่ายประจวบกันเข้า  เกิดวิญญาณ  (เห็นรูป)  แต่นั้นเกิดสัมผัส  เวทนา  สัญญา  สัญเจตนา  ตัณหา  วิตก  วิจาร  โดยลำดับ  ดังแสดงเป็นบาลีว่า  ยงฺกิญฺจิ  สมุทยธมฺมํ   สพฺพนฺตํ  นิโรธธมฺมํ  สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นล้วนมีความดับเป็นธรรมดา     ความคิดอ่าน  ความเสวยเวทนา  และอาการอย่างอื่น  เป็นกิจ  (หน้าที่)  แห่งจิต  และเจตสิก     มิใช่แห่งอัตตา

 
    พระพุทธศาสนารับว่ามีจุติจิต  จิตที่ทำหน้าที่เคลื่อนย้าย  ด้วยคำว่า  จิตฺเต  สงฺกิสิฏเฐ  ทุคฺคติ  ปาฏิกงฺขา  เมื่อจิตเศร้าหมอง  จำหวังทุคติ
จิตฺเต  อสงกิลิฏเฐ  สุคติ  ปาฏิกงขา 
เมื่อจิตไม่เศร้าหมองสุคติย่อมหวังได้
    และรับรองปฏิสนธิจิต  (จิตที่ทำหน้าที่สืบต่อ)  ด้วยคำว่า  วิญญาณปจฺจยา  นามรูปํ     นามรูป  ย่อมเกิดมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
    โดยนัยนี้  บทว่า  อนัตตา  มีความตามพยัญชนะว่า  มิใช่ตัว  มิใช่ตน  แย้งตรงต่ออุปาทาน  (ความถือผิดว่ามีผู้สร้าง  หรืออำนาจดลบันดาล)
อธิบายคำว่า    ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
    บาลีแสดงอนัตตลักขณะว่า  ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา  ไม่ว่าสังขารเหมือนใน     ๒  คาถาข้างต้น  เพราะอนิจจลักษณะและทุกขลักษณะ  ย่อมได้เฉพาะในสังขาร  (สิ่งที่ถูกปัจจัย     คือ  กรรม  จิต  อุตุ  อาหาร  ปรุงแต่ง)  ส่วนอนัตตลักขณะ  ย่อมได้ทั้งในสังขารและวิสังขาร     (สิ่งที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง  คือ  นิพพาน)  ดังนั้น  จึงต้องใช้คำว่า  ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา
อนัตตาไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ
   ความเห็นอนัตตาพึงปรารถนาโยนิโสมนสิการกำกับ  จะได้กำหนดรู้สัจจะทั้ง  ๒  คือ
๑.สมมติสัจจะ  จริงโดยสมมติ  เช่น  บิดา  มารดา  มีจริง  เป็นต้น
๒.ปรมัตถสัจจะ  จริงโดยปรมัตถะ  คือ  อรรถอันลึก  เช่น  รูป  เวทนา  สัญญา     สังขาร  วิญญาณ  เป็นต้น
    อนึ่ง  ความเห็นอนัตตา  จะได้ละทิฏฐิมานะ  คือ  ความถือผิด  และความถือตัว     และกิเลสอย่างอื่น  อันเนื่องมาจากการถือเรา  ถือเขา  ถือก๊ก  ถือพวก
ความหน่ายที่เรียกว่านิพพิทา
   ผู้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า  สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา  ด้วยอาการดังกล่าวแล้ว  ย่อมหน่ายในทุกขขันธ์  ไม่เพลิดเพลิน  หมกมุ่นในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา     ความหน่ายนั้นเรียกว่านิพพิทา
   นิพพิทาที่เกิดด้วยปัญญา  จัดเป็นนิพพิทาญาณ  ย่อมเป็นปฏิปทา  คือ  ทางแห่งวิสุทธิ  ความหมดจด  ความผ่องแผ้วแห่งจิต
๒. วิราคะ  ความสิ้นกำหนัด
อุทเทส
๑.      นิพฺพินฺทํ  วิรชฺชติ
          เมื่อหน่าย  ย่อมสิ้นกำหนัด
อนัตตลักขณสูตร
๒. วิราโค  เสฏฺโฐ  ธมฺมานํ
           วิราคะ เป็นประเสริฐ  แห่งธรรมทั้งหลาย
มัคควัคค  ธัมมบท
๓.  สุขา  วิราคตา  โลเก  กามานํ  สมติกฺกโม
วิราคะ  คือ  ความก้าวล่วงเสียด้วยดี  ซึ่งกามทั้งหลายเป็นสุขในโลก
พุทธอุทาน   มหาวัคค วินัย
    วิราคะ  เป็นยอดแห่งธรรมทั้งปวง  ทั้งที่เป็นสังขตะ  คือ  อันธรรมดาแต่ง  ทั้งที่เป็นอสังขตะ คือ อันธรรมดามิได้แต่ง

ไวพจน์    คือ    คำสำหรับเรียกแทนกัน
แห่งวิราคะ    ๘    อย่าง
๑.   มทนิมฺมทโน     ธรรมยังความเมาให้สร่าง
๒.  ปิปาสวินโย       ความนำเสียซึ่งความระหาย
๓.  อาลยสมุคฺฆาโต    ความถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย
๔.  วฏฺฏูปจฺเฉโท      ความเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ
๕.   ตณหกฺขโย       ความสิ้นแห่งตัณหา
๖.   วิราโค            ความสิ้นกำหนัด
๗.  นิโรโธ             ความดับ
๘.  นิพฺพานํ       ธรรมชาติหาเครื่องเสียบแทงมิได้
     ความเมาในอารมณ์ยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ  เช่น  สมบัติแห่งชาติ สกุล อิสริยะ บริวาร  ก็ดี  ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  ก็ดี  ความเยาว์วัย  ความหาโรคมิได้  และชีวิตก็ดี  ชื่อว่าความเมา
    ความกระวนกระวาย  เพราะเหตุแห่งความอยากเปรียบด้วยอาการระหายน้ำ  ชื่อว่า    ความระหาย

 
    ความติดพัน  ความห่วงใยในปิยารมณ์  ชื่อว่า  อาลัย
    ความเวียนเกิดด้วยอำนาจ  กิเลส  กรรม  และวิบาก  ชื่อว่า  วัฏฏะ
    ความอยาก  ชื่อว่า  ตัณหา
    ความสิ้นกำหนัด  ปราศจากเสน่หา  ฟอกจิตจากน้ำย้อม  คือ  กิเลสกาม  ชื่อว่า    วิราคะ
    ความดับทุกข์เนื่องมาจากดับตัณหา  ชื่อว่า  นิโรธ
    แต่นิโรธศัพท์ใช้ในความหมายธรรมดาก็มี  เช่น  คำว่า  เตสญจ  โย  นิโรโธ  จ   พระตถาคตตรัสความดับแห่งธรรมเหล่านั้นด้วย  ยงฺกิญฺจิ  สมุทยธมฺมํ  สพฺพนฺตํ  นิโรธธมฺมํ    สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา  เป็นต้น
     หมายเอาความดับคือ  ระงับจิต  เจตสิก  (สัญญา  เวทนา)  ในลำดับแห่งสมาบัติที่    ๘  เรียกว่า  นิโรธสมาบัติ  ก็มี  (เป็นชื่อสมาบัติอย่างหนึ่ง)
     วิราคะ  อันกล่าวถึงในลำดับแห่งนิพพิทา  ได้แก่  อริยมรรค
     สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ทรงประทานข้อสังเกตว่า      ปรมัตถปฏิปทา  แสดงเฉพาะในทางละกิเลสกาม  ไม่กล่าวถึงกิเลสส่วนปฏิฆะเลย  ชะรอยท่านจะเห็นว่ากิเลสกามเป็นมูลแห่งกิเลสส่วนปฏิฆะ  มีนิทัศนะ  ตัวอย่าง  เช่น  อาฆาตจะเกิดขึ้น  ก็เพราะพบความติดขัดแห่งความปรารถนาเนื่องด้วยปิยารมณ์
๓.  วิมุตติ  ความหลุดพ้น
อุทเทส
   ๑.   วิราคา           วิมุจฺจติ
เพราะสิ้นกำหนัด    ย่อมหลุดพ้น
อนัตตลักขณสูตร
๒.  กามาสวาปิ  จิตฺตํ  วิมุจฺจิตฺถ  ภวาสวาปิ  จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ อวิชชาสวาปิ  จิตฺตํ  วิมุจฺจิตฺถ
       จิตพ้นแล้ว  จากอาสวะเนื่องด้วยกาม จากอาสวะเนื่องด้วยภพ  และจากอาสวะเนื่องด้วยอวิชชา
มหาวิภังค์ วินัย
๓.  วิมุตฺตสฺมึ  วิมุตฺตมิติ  ญาณํ  โหติ
เมื่อหลุดพ้นแล้ว  ญาณว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี
อนัตตลักขณสูตร
     วิมุตติ  แปลว่า  ความหลุดพ้นจากกิเลส  เป็นได้ทั้งโลกิยะ  และโลกุตตระ    ที่เป็นโลกุตตระ  ก็เป็นได้ทั้งอริยมรรค  และอริยผล
     วิมุตติ มาในลำดับแห่งวิราคะ ดั่งในบาลีกระทู้ที่  ๑  ได้แก่ อริยผล (เพราะวิราคะเป็นอริยมรรค) เป็นโลกุตตระ
     วิมุตติในบาลีกระทู้ที่  ๒  ท่านแสดงในลำดับการรู้แจ้งอริยสัจ  ๔  เป็นอริยมรรค  (เพราะเพิ่งหลุดพ้นจากกิเลส)  เป็นโลกุตตระ
     วิมุตติในบาลีกระทู้ที่  ๓  เป็นปัจจเวกขณญาณ  เรียกว่า  วิมุตติญาณทัสสนะ  เป็นโลกิยะ  เพราะไม่ได้ทำหน้าที่ละกิเลส  เพียงแต่ตรวจดูกิเลสที่ละได้  และยังละไม่ได้
อาสวะเป็นไวพจน์แห่งกิเลส
    อาสวะนั้นเป็นชื่อแห่งเมรัยก็มี เช่น ผลาสโว น้ำดองผลไม้  เป็นชื่อแห่งกิเลสก็มี  เช่น กามาสโว กิเลสเป็นเหตุใคร่
     คำว่า อาสวะ ในที่นี้ได้แก่ กิเลสานุสัย  คือ  กิเลสอันนอนตาม  คือ  ดองอยู่หมักอยู่ในจิตตสันดาน  ได้แก่  กิเลสอันเป็นเจ้าเรือน  ดังนั้น  อาสวะกับกิเลสจึงเป็นคำไวพจน์แห่งกันและกัน  ในบาลีเรียกอาสวะ  ในอรรถกถาเรียกกิเลสเป็นพื้น
วิมุตติ  ๕
๑.ตทังควิมุตติ  ความหลุดพ้นด้วยองค์นั้น ๆ  ได้แก่  การระงับอกุศลเจตสิกได้เป็นคราว ๆ
๒.วิกขัมภนวิมุตติ  ความหลุดพ้นด้วยข่มไว้  ได้แก่ การระงับกิเลส และอกุศลธรรมด้วยกำลังฌาน
วิมุตติทั้ง ๒ นี้ เป็นโลกิยวิมุตติ
๓.สมุจเฉทวิมุตติ  ความหลุดพ้นด้วยตัดขาด ได้แก่  ระงับกิเลสด้วยอริยมรรค
๔.ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยความสงบราบคาบ ได้แก่ อริยผล
๕.นิสสรณวิมุตติ  ความหลุดพ้นด้วยออกไปเสีย  ได้แก่  นิพพาน
วิมุตติทั้ง  ๓  ข้อนี้เป็นโลกุตตรวิมุตติ
   วิมุตติ  เป็นได้ทั้งโลกิยะ  โลกุตตระ  อริยมรรค  และอริยผล  ดังนี้แล
๔.  วิสุทธิ  ความหมดจด
อุทเทส
๑. ปญฺญาย  ปริสุชฺฌติ
ย่อมหมดจดด้วยปัญญา
ยักฺขสังยุตฺต    สคาถวัคฺด
                  ๒.  เอส  มคฺโค  วิสุทฺธิยา
นั่น  (นิพพิทา)   เป็นทางแห่งวิสุทธิ
มคฺควคฺค   ธมฺมบท
บริสุทธิ์ด้วยปัญญา
    บางลัทธิเชื่อว่า  บาปที่ทำแล้วอาจลอยเสียด้วยทำพิธีเมื่ออาบน้ำ  บางลัทธิถือว่า    อ้อนวอนพระเจ้าเพื่อโปรดยกประทานได้อยู่
    ฝ่ายพระพุทธศาสนาถือว่า  ทำบาปเอง  ย่อมเศร้าหมองเอง  ไม่ทำบาปเอง  ย่อมหมดจดเอง  ความหมดจดและความเศร้าหมอง เป็นของเฉพาะตัว  คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่    โดยนัยนี้ถือว่า  ความบริสุทธิ์ภายในย่อมมีได้ด้วยปัญญาอันเกิดจากวิปัสสนาญาณ  ฯ



วิปัสสนาญาณ    ๙
    ความบริสุทธิ์ภายในย่อมดีด้วยปัญญา  อันเกิดจากวิปัสสนาญาณ
    ผู้พิจารณามาเห็นด้วยปัญญาว่า  สังขารไม่เที่ยง  เพราะเพ่งความเกิดและความดับ  นี้เป็นอุทยัพพยญาณ  คือ  เห็นเกิดดับ
    เพราะเพ่งความแปรในชั่วขณะ  จัดเป็นภังคญาณ  คือ  เห็นย่อยยับ
    เพราะเห็นสังขารย่อยยับ  จึงเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว  จัดเป็นภยตูปัฏฐานญาณ
    เล็งเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์  นี้จัดเป็นอาทีนวญาณ  คือ  เห็นโทษ
   ความหน่ายในลำดับ (การเห็นโทษ) เป็นนิพพิทาญาณ
    นิพพิทานั้นย่อมเป็นปฏิปทาเครื่องสาวไปถึงความเป็นผู้ใคร่จะปลดอุปาทานเสีย  อันจัดเป็นมุญจิตุกัมยตาญาณ
    ความพิจารณาหาอุบาย  จัดเป็นปฏิสังขาญาณ
    ความวางเฉยในสังขาร  จัดเป็นสังขารุเปกขาญาณ  โดยลำดับกัน
    แต่นั้น จัดเป็นสัจจานุโลมิกญาณ คือ เห็นอนุโลมอริยสัจ (เลื่อนไหลไปฝั่งโลกุตตระ) เป็นวิปัสสนาญาณคำรบ ๙ อยู่ในหัวต่อแห่งภาวะเป็นปุถุชน  และภาวะเป็นอริยะ  โคตรภูญาณก็เรียก  หมายความว่า  ญาณครอบโคตร คือ ล่วงภาวะเดิม  (แต่ก็ยังไม่ได้บรรลุมรรค)  ต่อแต่นี้เป็นวาระแห่งอริยมรรค  และอริยผล  โดยลำดับกัน
    นิพพิทา ชื่อว่าเป็นทางแห่งวิสุทธิด้วยประการฉะนี้
อีกบรรยายหนึ่ง
อุทเทส
๓.  มคฺคานฏฺฐงฺคิโก  เสฏฺโฐ
เอเสว  มคฺโค  นตฺถญฺโญ  ทสฺสนสฺส  วิสุทฺธิยา
    ทางมีองค์  ๘  เป็นทางประเสริฐสุดแห่งทางทั้งหลาย  ทางนั้นแล  ไม่มีทางอื่นเพื่อหมดจดแห่งทัสสนะ
มัคควัคค   ธัมมบท
                  ทางมีองค์  ๘  นั้น  คือ
สัมมาทิฏฐิ                ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ           ความดำริชอบ
สัมมาวาจา               เจรจาชอบ
สัมมากัมมันตะ          การงานชอบ
สัมมาอาชีวะ             เลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายามะ           พยายามชอบ
สัมมาสติ                  ระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ              ตั้งใจชอบ
  เป็นทางประเสริฐที่สุด และเป็นทางยอดแห่งสังขตธรรม
  ทางมีองค์  ๘  นี้จัดเป็นสังขตธรรม  เพราะเป็นเจตสิก  ยังมีเกิดมีดับอยู่
มรรค  ๘  เทียบกับวิสุทธิ  ๗
     มรรค ๘ นำไปถึงความหมดจดแห่งทัสสนะอย่างไร พึงรู้ด้วยเทียบกับวิสุทธิ ๗ อย่างนี้

 
     สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สงเคราะห์เข้าเป็นสีลวิสุทธิที่  ๑
     สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  สัมมาสมาธิ  สงเคราะห์เข้าเป็นจิตตวิสุทธิที่  ๒ อันได้แก่  สมาบัติ
    สัมมาทิฏฐิ  และสัมมาสังกัปปะ  ได้ในวิสุทธิ  ๕  ในลำดับ
    สัมมาสังกัปปะ  ทำกิจพิจารณา  สัมมาทิฏฐิ  ทำกิจสันนิษฐานเป็นชั้น ๆ  อย่างนี้
    พิจารณาเห็นสังขารโดยไตรลักษณ์  จัดเป็นทิฏฐิวิสุทธิ  หมดจดแห่งความเห็น  นับเป็นที่  ๓
    พิจารณาเห็นสังขารเป็นไปเนื่องด้วยเหตุดังแสดงในบาลีว่า  เหมือนอย่างว่า  พืชชนิดใดชนิดหนึ่งอันหว่านไว้แล้ว  อาศัยรสแห่งแผ่นดิน  และยางในพืชรวมกันเข้าทั้ง  ๒  อย่าง    ย่อมงอกขึ้นในนาฉันใด  ขันธ์  ธาตุ  อายตนะ  ๖  เหล่านี้  อาศัยเหตุเกิดขึ้น  ฉันนั้น  ย่อมดับเพราะสลายแห่งเหตุนี้  จัดเป็นกังขาวิตรณวิสุทธิ  หมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามความสงสัย    นับเป็นที่  ๔  ได้ในพระพุทธพจน์ว่า
    ในกาลนั้น  ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป  เพราะมารู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุและเพราะมารู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย
    พิจารณาเห็นสังขารด้วยอาการอย่างนั้น ด้วยใช้โยนิโสมนสิการกำกับ รู้จักว่าน้อมอย่างไรถูกทางทาง  อย่างไรผิดทาง จัดเป็นมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ  หมดจดแห่งญาณทัสสนะว่าทางหรือมิใช่ทาง นับเป็นที่๕
    ความรู้และความเห็นในทางปฏิบัติถูก  จัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ  คือ  ตัววิปัสสนาญาณ  ๙
    พิจารณาเห็นสำเร็จเป็นอริยมรรค จัดเป็นญาณทัสสนวิสุทธิ  หมดจดแห่งญาณทัสสนะ  นับเป็นที่ครบ ๗  ที่หมายกล่าวในบาลีว่า
เอเสว  มคฺโค  นตฺถญฺโญ  ทสฺสนสฺส  วิสุทฺธิยา
ทางนี้แล  ไม่มีทางอื่น  เพื่อหมดจดแห่งทัสสนะ
    ในรถวินีตสูตร แสดงวิสุทธิ ๗ ว่า ส่งต่อกันโดยลำดับจนถึงอนุปาทาปรินิพพาน  เหมือนการเดินทางกว่าจะถึงที่สุดด้วยรถ ๗ ผลัด
    วิสุทธิ  เป็นไวพจน์แห่งวิมุตติ  คือ  ใช้เรียกแทนกัน  ความหมายเหมือนกัน  คือ  ไม่มีกิเลส
   วิสุทธิ ๖ ข้างต้นเป็นโลกิยะ วิสุทธิที่ ๗ เป็นโลกุตตระ
    สมเด็จ ฯ ทรงเรียงวิสุทธิต่อจากวิมุตติ  ทรงอธิบายว่า  จิตพ้นจากอาสวะแล้วย่อมผ่องแผ้ว  (บริสุทธิ์)  เหมือนผ้าฟอกแล้วย่อมหมดมลทิน  ย่อมขาวผ่อง
๕.  สันติ    ความสงบ
อุทเทส
                  ๑. สนฺติมคฺคเมว  พฺรูหย
สูจงพูนทางแห่งความสงบนั้นแล
มัคควัคค    ธัมมบท
                  ๒.  นตฺถิ  สนฺติปรํ  สุขํ
สุขอื่นจากความสงบ  ย่อมไม่มี
สุขวัคค    ธัมมบท
                ๓. โลกามิสํ  ปชเห  สนฺติเปกฺโข
ผู้เพ่งความสงบ  พึงละอามิสในโลกเสีย
สคาถวัคค    สํยุตฺต
     สันติ  ย่อมเป็นไปในไตรทวาร  ได้ในบาลีว่า  ใจของผู้นั้นสงบแล้ว  กายและวาจา    ก็ย่อมเป็นอันสงบ
    การทำที่เว้นจากการเบียดเบียนกัน  การพูดที่เว้นจากวิวาทและผรุสวาท  ใจนึกในทางเมตตา  กรุณา  นี้คือ  กาย  วาจา  ใจ  ที่สงบ  ความสุขอื่นยิ่งไปกว่าความสงบนี้  ย่อมไม่มี
     โลกามิส  คือ  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก    ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวอยู่  การทำใจมิให้ติดในสิ่งเหล่านั้น  (ชื่อว่า  ละ)  ย่อมเป็นปฏิปทาของท่านผู้รู้  ผู้สงบดีแล้ว  ดังแสดงในชราสูตร  ว่า
    หยดน้ำย่อมไม่ติดในใบบัวฉันใด  วารีย่อมไม่กำซาบในดอกปทุม  ฉันใด  มุนีย่อมไม่เข้าไปติดในอารมณ์  อันเห็นแล้วก็ดี  อันฟังแล้วก็ดี  อันทราบแล้วก็ดี  ฉันนั้น
    สันติเป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตร  ดุจเดียวกับวิสุทธิ  (สันติ)  ที่เป็นโลกิยะได้ในคำว่า
    บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต  ด้วยร้องไห้  ด้วยเศร้าโศก  ก็หาไม่
    ที่เป็นโลกุตรได้ในคำว่า ผู้เพ่งสันติ  พึงละโลกามิสเสีย

 
    สมเด็จ ฯ  ทรงเรียงสันติต่อจากวิสุทธิ  ทรงอธิบายว่า  จิตวิสุทธิ์แล้วย่อมสงบ  ดุจผ้าฟอกขาวผ่องแล้วย่อมมีนวล
๖.  นิพพาน
อุทเทส
๑. นิพฺพานํ  ปรมํ  วทนฺติ  พุทฺธา
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ย่อมกล่าวนิพพานว่ายวดยิ่ง
พุทฺธวัคค    ธัมมบท
             ๒. นิพฺพานคมนํ  มคฺคํ  ขิปฺปเมว  วิโสธเย
                        พึงรีบชำระทางไปนิพพาน
มัคควัคค    ธัมมบท
              ๓. นิพฺพานํ  ปรมํ  สุขํ
นิพพาน  เป็นสุขอย่างยวดยิ่ง
สุขวัคค    ธัมมบท
                  นิพพานศัพท์  แปลได้  ๒  นัย
                  ๑.   แปลว่า    ดับ
                  ๒.  แปลว่า     หาของเสียบแทงมิได้
   นิพพานมีชื่อเรียกในลัทธิภายนอก  พึงเห็นในคำแห่งโธตกมาณพ  ทูลพระบรมศาสดาว่า  ข้าแต่พระภควา  ข้าพเจ้าขอทูลถามพระองค์  ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงคุณใหญ่  ขอพระองค์ตรัสข้อนั้นแก่ข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าฟังพระดำรัสแล้วพึงศึกษานิพพานของตน
นิพพานตามมติพระพุทธศาสนา
    มติข้างพระพุทธศาสนา  แยกเหตุอันแต่งสังขาร  (อวิชชา)  เป็นต้นสาย  นิพพานเป็นปลายสาย  ปฏิเสธอัตตา  แต่ยอมรับความเชื่อมถึงกันแห่งจุติจิตในภพหลัง  และปฏิสนธิจิตในภพหน้า  โดยอาการอย่างสืบสันตติในชีวิตเดียวกัน
    กล่าวความบริสุทธิ์ด้วยประการทั้งปวงแห่งจิต  อันท่องเที่ยวในสังสารวัฏ  ที่การบรรลุพระอรหัต  อันสำเร็จด้วยวิริยะกับปัญญา  ซึ่งต้องบำเพ็ญบารมีเป็นเวลาช้านาน
    กล่าวถึงการดับแห่งจิตอันบริสุทธิ์  (จิตของพระอรหันต์)  นั้น  ในปัจฉิมชาติ  แล้วไม่เกิดอีก  เป็นถึงที่สุดเพียงนี้  ว่าคือ  นิพพาน
นิพพานเป็นอสังขตะ
     โดยนัยนี้  นิพพานอันเป็นปลายสายย่อมจัดเป็นวิสังขาร  มิใช่สังขาร  และเป็น อสังขตะ  อันปัจจัยมิได้แต่ง  เพราะพ้นจากความเป็นสังขาร  และอันปัจจัยมิได้แต่งให้เกิดอีก
นิพพานมี  ๒  อย่าง
    ในทุกนิบาต  อิติวุตตกะ  ทรงแจกนิพพานไว้  ๒  อย่าง  คือ
    ๑. สอุปาทิเสสนิพพาน  ดับกิเลสมีอุปาทิเหลืออยู่
    ๒.อนุปาทิเสสนิพพาน  ดับกิเลสไม่มีอุปาทิเหลือ
    อุปาทิ  แปลว่า  สิ่งที่กรรมและกิเลสเข้ายึดโดยความเป็นผล  ได้แก่  ขันธ์  ๕  อันเป็นผลแห่งกรรมและกิเลส  ในที่นี้หมายถึง  ขันธ์  ๕  ของพระอรหันต์
    สมเด็จ ฯ   ทรงแสดงพระมติว่า  อุปาทิ  แปลว่า  ผู้ครอง  อันเป็นปัจจัยแห่งการคิด    การพูด  การทำ  ได้แก่  สิ่งที่เรียกโดยอภิธรรมนัยว่า  จิต  จิตนี้  เป็นผู้คิด  เป็นปัจจัยแห่งกายวิญญัติ  คือ  การไหวกาย  และวจีวิญญัติ  คือการไหววาจา  หรือเปล่งเสียง
    ทรงสรุปนิพพานในสูตรนี้ว่า   ความสิ้นอาสวะแต่จริมกจิต    ( จิตสุดท้าย )  ยังทรงอยู่    กล่าวคือ    สำเร็จพระอรหัต    เป็นสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ   ครั้นจริมกจิตดับแล้ว    เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
นิพพานศัพท์    ๒    ความหมาย
     ทรงแสดงพระมติว่า  นิพพานศัพท์หมายเอาสอุปาทิเสส  ควรแปลว่า  หาของเสียบแทงมิได้  หมายเอาอนุปาทิเสส  ควรแปลว่า  ดับ
พระพุทธพจน์แสดงปฏิปทา 
(ข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน)
(คำแปล)
๑.ภิกษุยินดีในความไม่ประมาทแล้วหรือเห็นภัยในความประมาทโดยปกติ  ย่อมไม่พอเพื่อเสื่อมรอบ  ย่อมปฏิบัติใกล้นิพพานเทียว
อัปปมาทวัคค  ธัมมบท
๒.ภิกษุมีความเคารพในพระศาสดา  พระธรรม  พระสงฆ์  สิกขา  ๓  ความไม่ประมาท  และ  ปฏิสันถาร  ย่อมเป็นผู้ไม่พอเพื่อเสื่อมรอบ  ย่อมปฏิบัติใกล้นิพพานเทียว
คารวสูตร  สัตตกังคุตตร
๓.ฌานและปัญญามีในผู้ใด  ผู้นั้นปฏิบัติใกล้นิพพาน
ภิกขุวัคค    ธัมมบท
๔.ธีระชนเหล่านั้น  เข้าฌาน  มีความเพียร  ติดต่อ  มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์  ย่อมถูกต้องนิพพานอันเกษมจากโยคะ  หาธรรมอื่นยิ่งกว่าไม่มี
อัปปมาทวัคค  ธัมมบท
๕.ภิกษุ  เธอจงวิดเรือนี้  คืออัตตภาพนี้  เรืออันเธอวิดแล้ว  จักพลันถึง  เธอตัดราคะและโทสะแล้ว  แต่นั้นจักถึงนิพพาน
ภิกขุวัคค  ธัมมบท
๖.ภิกษุผู้เข้าไปตั้งกายคตาสติแล้ว  สังวรในบ่อเกิดแห่งผัสสะ  ๖  มีจิตตั้งมั่นติดต่อ     พึงรู้นิพพานแห่งตน
นันทวัคค  อุทาน
สรุปธรรมที่เป็นปฏิปทาแห่งนิพพาน
   จากพระพุทธพจน์ทั้ง  ๖  ข้อ  ที่ทรงยกมา  ได้ธรรมที่เป็นปฏิปทาแห่งนิพพาน  ดังนี้
๑.   ความไม่ประมาท
๒.  ความเคารพ
๓.  สมาธิและปัญญา
๔.   ความเพียร
๕.   หมั่นบรรเทากิเลสและบาปธรรม  (วิดเรือ)
๖.  เจริญกายคตาสติ  และสำรวมอินทรีย์
บาลีแสดงสอุปาทิเสสนิพพาน
(เฉพาะคำแปล)
เพราะละตัณหาเสีย ท่านกล่าวว่า  นิพพาน
อุทายมาณวกปัญหา
     ความดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ  เพราะสิ้นตัณหาทั้งหลายด้วยประการทั้งปวง    เป็นนิพพาน
นันทวัคค    อุทาน
    ธาตุอันหนึ่งแล  เป็นไปในธรรมอันแลเห็นแล้วในโลกนี้  เป็นนิพพานธาตุมีอุปาทิยังเหลือ  เพราะสิ้นธรรมชาติผู้นำไปสู่ภพ  (ตัณหา)
ทุกนิบาต    อิติวุตตก
    ไวพจน์แห่งวิราคะมี  มทนิมฺมทโน  เป็นต้น  ดังกล่าวมาในเรื่องวิราคะ  ก็หมายเอา สอุปาทิเสสนิพพาน  เช่นกัน
พระพุทธพจน์แสดงอนุปาทิเสสนิพพาน
(เฉพาะคำแปล)
    เรากล่าวทวีปนั่นมิใช่อื่น  หาห่วงมิได้  หาเครื่องยึดมิได้  เป็นที่สิ้นรอบแห่งชราและมัจจุว่านิพพาน
กัปปมาณวปัญหา
    ส่วนธาตุเป็นไปในธรรมอันจะพึงถึงข้างหน้า    ที่ภพทั้งปวงดับด้วยประการทั้งปวง  เป็นนิพพานธาตุหาอุปาทิเหลือมิได้
ทุกนิบาต     อิติวุตฺตก
     ความเข้าไปสงบแห่งสังขารเหล่านั้น ย่อมเป็นความสุข
นิทานวัคค    สังยุตตุ
    ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม  ไม่มีเลย อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ  อากิญจัญญายตนะ  เนวสัญญนาสัญญายตนะ  ก็มิใช่  โลกนี้ก็มิใช่ โลกอื่นก็มิใช่ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ทั้ง ๒  ก็มิใช
    อนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย  เราไม่กล่าวเลยซึ่งอายตนะนั้นว่า  เป็นการมา เป็นการไป เป็นการยืน เป็นการจุติ เป็นการเกิด อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นั่นแลที่สุดแห่งทุกข์
ปาฏลิคามิวัคค    อุทาน
    ในสูตรนี้ เรียกนิพพานว่า อายตนะ เพราะนิพพานเป็นธัมมายตนะ  (เป็นอารมณ์ของมนายตนะ)
    กล่าวว่า  ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม  ไม่มีในนิพพานนั้น  ส่องความว่า  นิพพานมิใช่รูปขันธ์
    กล่าวว่า  นิพพานไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ  เป็นต้น  ส่องความว่า  นิพพานมิใช่นามขันธ์

 
    กล่าวว่า  นิพพานมิใช่โลกนี้  มิใช่โลกอื่น  มิใช่ดวงจันทร์  ดวงอาทิตย์  ส่องความว่านิพพาน  ไม่ใช่โลกอย่างใดอย่างหนึ่ง  (จักรวาล)
    กล่าวปฏิเสธการไปมา  การดำรงอยู่  การจุติ  การเกิด  ส่องความว่า  นิพพานไม่มีสัมพันธ์ด้วยโลกอื่นด้วยการไปมาถึงกันธรรมดา  และด้วยการเวียนเกิด
    กล่าวว่า  นิพพานไม่มีที่ตั้งอาศัย  มิได้เป็นไป  หาอารมณ์มิได้  ส่องความว่า    นิพพานมิใช่โลก  และมิใช่สัตว์โลก
    รวมความแล้วนิพพานไม่ใช่อะไรสักอย่าง  ถามว่า  แล้วนิพพานคืออะไร  คำตอบคือ  อนฺโต  ทุกฺขสฺส  นิพพานเป็นที่สุดสิ้นแห่งทุกข์  เป็นปลายสายแห่งทุกขขันธ์  ทุกขขันธ์สุดลงเพียงนี้
พระพุทธพจน์แสดงนิพพาน  ๒  บรรยาย
(เฉพาะคำแปล)
    ธรรมชาตินั่นสงบแล้ว  ธรรมชาตินั่นประณีตแล้ว  ธรรมชาติไรเล่าเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง  เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา  เป็นที่สิ้นกำหนัด  เป็นที่ดับ คือ  นิพพาน
นวกาทิกงฺคุตตร
   อุปธิ  ในคำว่า  เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง  หมายถึง  กิเลส  ก็ได้  หมายถึง  เบญจขันธ์ก็ได้  แต่ในที่นี้หมายถึงเบญจขันธ์  เป็นไวพจน์ของสังขารในบทต้น  (คือมีความหมายเดียวกับสังขาร)                                 
    บทว่า เป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง และบทว่า เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง  หมายเอาอนุปาทิเสสนิพพาน  ส่วน  ๓  บทต่อมา  คือ เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา  เป็นที่สิ้นกำหนัด  เป็นที่ดับ หมายเอาสอุปาทิเสสนิพพาน
ปลูกฉันทะในนิพพาน
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ทรงประทานข้อคิดไว้ว่า
    วิสัยนักปราชญ์  มีปกติใช้สติปัญญาสอดส่องอรรถอันสุขุม  หรือทั้งเคยได้ประสบ   สามิสสุขมาด้วยตนเอง  เห็นลงว่า  สามิสสุขเป็นเครื่องเกี่ยวไว้ดุจเบ็ด  เป็นเครื่องร้อยไว้ดุจสนตะพายหรือบังเหียน  ผู้ข้องในสามิสสุขนั้น  เป็นผู้อันจะพึงจูงไปได้ตามปรารถนา  ไม่เป็นโสดแก่ตน  ทั้งเป็นสุขไม่รู้จักอิ่ม  ได้แล้วยังไม่พอ  ในที่สุดย่อมแปรปรวนไป  ท่านจึงทำความพอใจในสุขอันสุขุมกว่านั้น  เช่นสุขเกิดแต่การรู้สึกว่าได้ทำกิจอันควรทำ
    พระศาสดาทรงหมายเอาการรู้สึกอย่างนี้  จึงได้เปล่งพระสุรสิงหนาทว่า  กิจอย่างใดอันพระศาสดาผู้เอ็นดู  แสวงหาประโยชน์เพื่อสาวกทั้งหลายจะพึงทำ  กิจอย่างนั้นอันเราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทุกอย่าง
    หรือว่า  ตนอยู่ด้วยความไม่มีภัย  ไม่มีเวร  กับผู้อื่น  ดังแสดงว่า  ภิกษุมีใจประกอบด้วยเมตตา  กรุณา  เป็นจิตวิบูล  ถึงความเป็นใหญ่หาจำกัดมิได้  หาเวรมิได้  หาความเบียดเบียนมิได้  แผ่ไปอยู่
    หรือว่า  ไม่เป็นอยู่เปล่า  ได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่เขาทั้งหลาย  ดังแสดงว่า       สัตบุรุษย่อมเกิดมาเพื่อประโยชน์  เพื่อเกื้อกูล  เพื่อสุขแก่มหาชน
    หรือเกิดแต่การนึกอารมณ์อย่างอื่นอีก  อันละม้ายกัน  หรือเกิดแต่ความเลื่อมใสในธรรมดังแสดงว่า  ผู้มีใจผ่องใส  ได้ปีติอาศัยธรรมย่อมอยู่เป็นสุข
    หรือเกิดแต่การพิจารณาธรรมดังแสดงว่า ในกาลใดๆ  ย่อมพิจารณาความเกิด  ความดับ แห่งขันธ์ทั้งหลาย  ในกาลนั้นๆ  ย่อมได้ปีติปราโมทย์  นั้นเป็นน้ำอมฤตของผู้รู้ทั้งหลาย
    การใช้สติปัญญาสอดส่องอรรถอันสุขุมดังกล่าวมา  ย่อมยังฉันทะให้เกิดในนิรามิสสุขละเอียดเป็นชั้น ๆ  ปลูกความนิยมในธรรมอันซึ้งตามกัน  ตลอดถึงนิพพานเป็นที่สุด  เหตุนั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  จึงกล่าวยกย่องนิพพานว่า  เป็นธรรมยวดยิ่ง
สรุปวิธีปลูกฉันทะในนิพพาน
    ใช้สติปัญญาสอดส่องให้เห็นโทษของสามิสสุข  แล้วทำความพอใจในสุขอันละเอียดกว่านั้นด้วยการปฏิบัติ  ดังนี้
๑.   ทำกิจที่ควรทำ
 ๒.  อยู่ด้วยความไม่มีภัย  ไม่มีเวรกับผู้อื่น
๓.  ไม่เป็นผู้อยู่เปล่า  ทำประโยชน์ให้เกิดแก่ส่วนรวม
๔.   ทำใจให้เลื่อมใสในธรรม
๕.   พิจารณาให้เห็นความจริงของชีวิต                                            
หัวใจสมถกัมมัฏฐาน
มีพระบรมพุทโธวาทว่า สมาธึ กิกฺขเว กเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงยังสมาธิ ให้เกิด ชนผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง.
อาการกายวาจาจะเป็นไปอย่างไร ย่อมสำเร็จมาจากใจเป็นผู้บัญชา ถ้าใจได้รับการอบรมดี ก็บังคับบัญชากายวาจาให้ดีไปตาม ถ้าใจชั่ว ก็บังคับบัญชาให้ชั่วไปตาม ใจเป็นใหญ่ ท่านจึงสอนให้ทำสมาธิให้เกิด เมื่อใจเป็นสมาธิ แม้จะนำไปใช้นึกคิดอะไรก็ละเอียดสุขุม ย่อมรู้จักความเป็นจริงได้ดีกว่าผู้มีใจไม่เป็นสมาธิ ใจที่ไม่เป็นสมาธิบางคราวอาจทำให้เสียคนไปก็ได้ เช่นเป็นคนเสียสติ เพราะไม่มี อะไรเป็นเครื่องควบคุม
ในหัวใจสมถกัมมัฏฐานนี้ แต่ละข้อก็เป็นอุบายเครื่องอบรมจิต
ให้เป็นสมาธิ ท่านยกขึ้นเป็นหัวข้อไว้ ๕ คือ :-
. กายคตาสติ.
. เมตตา.
. พุทธานุสสติ.
. กสิณ.
. จตุธาตุวัตถาน.
เหตุที่จัดหัวใจสมถกัมมัฏฐานไว้ ๕
ธรรมดาบุคคลทุก ๆ คน ย่อมมีอารมณ์ชนิดหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องขัดขวาง ทำไม่ให้จิตบรรลุความดีได้โดยสะดวก อารมณ์ซึ่งคอยขัดขวางนั้นเรียกว่านิวรณ์ มี ๕ อย่าง เมื่อนิวรณ์มี ๕ ท่านจึงได้จัด หัวใจสมถกัมมัฏฐานไว้ ๕ เพื่อเป็นเครื่องฆ่ากัน เพราะหัวใจสมถกัมมัฏฐานทั้ง ๕ นี้เป็นคู่ปรับกับนิวรณ์ ๕ โดยตรง.
นิวรณ์ ๕
. กามฉันทะ ความพอใจรับใคร่ในกาม.
. พยาบาท ความปองร้ายจองล้างจองผลาญผู้อื่น.
. ถีนมิทธะ ความท้อแท้ง่วงเหงาหาวนอน.
. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญ.
. วิจิกิจฉา ความลังเลไม่ตกลงใจ.
นิวรณ์ ๕ นี้ ในขณะจิตเดียวย่อมเกิดขึ้นได้อย่างเดียว จะเกิดขึ้นคราวเดียวกันตั้งแต่ ๒ ขึ้นไปไม่ได้.
กัมมัฏฐานเป็นคู่ปรับกับนิวรณ์
. กายคตาสติ เป็นคู่ปรับกับ กามฉันทะ.
. เมตตา " " พยาบาท.
. พุทธานุสสติ " " ถีนมิทธะ.
. กสิณ เป็นคู่ปรับกับ อุทธัจกุกกุจจะ.
. จตุธาตุววัตถาน " " วิจิกิจฉา.
เหตุเกิดนิวรณ์
กามฉันทะ เกิดจากสุภสัญญา ความสำคัญหมายว่าเป็นของงาม.
พยาบาท เกิดจากปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ความหงุดหงิด.
ถีนมิทธะ เกิดจากอรติ ความไม่เพลิดเพลินไม่ยินดี.
อุทธัจจกุกกุจจะ เกิดจากเจตโสอวูปสมะ ความไม่สงบแห่งจิต.
วิจิกิจฉา เกิดจากอโยนิโสมนสิการ ความทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย.
ฌาน ๔ โดยจตุกกนัย
. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก ความตรึก ๑ วิจาร ความตรอง ๑ ปีติ ความอิ่มใจ ๑ สุข ความสบาย
ใจ ๑ เอกัคคตา จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ๑.
. ทุติยาฌาน มีองค์ ๓ ละวิตก วิจาร คงเหลือปีติ ๑ สุข ๑ เอกัคคตา ๑.
. ตติยฌาน มีองค์ ๒ สุข ๑ เอกัคคตา ๑.
. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ ละสุข กลายเป็นอุเบกขา ๑ เอกัตตตา ๑.
ฌาน ๕ โดยปัญจกนัย
. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
. ทุติยฌาน มีองค์ ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา.
. ตติยฌาน มีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา.
. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา.
. ปัญจมฌาน มีองค์ ๒ คือ เอกัคคตา อุเบกขา.
องค์ฌานเป็นคู่ปรับกับนิวรณ์
. เอกัคคตา เป็นคู่ปรับกับ กามฉันทะ.
. ปีติ " " พยาบาท.
. วิตก " " ถีนมิทธะ.
. สุข " " อุทธัจจกุกกุจะ.
. วิจาร " " วิจิกิจฉา.
องค์ฌานทั้ง ๕ เมื่อเกิดขึ้น ย่อมระงับนิวรณ์ได้ ดังนั้น ท่านจึงว่า ละองค์ ๕ เจริญองค์ ๕.
ละองค์ ๕ คือละนิวรณ์ เจริญองค์ ๕ คือเจริญฌาน.
กายคตาสติ
สติที่ไปในกาย โดยความ คือให้มีสติกำหนดหรือพิจารณากาย เรียกว่า กายคตาสติ.
ในหัวใจสมถกัมมัฏฐาน ท่านยกส่วนแห่งกายขึ้นจำแนกไว้ ๕ อย่าง เรียกว่ามูลกัมมัฏฐาน แปลว่า กัมมัฏฐานเดิมบ้าง เรียกว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐาน แปลว่า กัมมัฏฐานมีหนังเป็นที่ ๕ บ้าง คือ
. เกสา ผม.
. โลมา ขน.
. นขา เล็บ.
. ทันตา ฟัน.
. ตโจ หนัง.
การพิจารณา จะพิจารณาทั้ง ๕ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่ปรากฏ พึงพิจารณาให้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ :-
. โดยสี.
. โดยสัณฐาน.
. โดยกลิ่น.
. โดยที่เกิด.
. โดยที่อยู่.

นอกจากนี้ พึงทราบโดยลักษณะแห่งกายคตาสติกัมมัฏฐานอันจักกล่าวข้างหน้า.